เหตุการณ์ในตอนนั้นก็คือ กองทัพอิสราเอล ที่มีซาอูลเป็นกษัตริย์ กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพฟีลิสเตียที่หุบเขาเอลาห์ กองทัพฟีลิสเตียได้ส่งยอดทหารกล้า นามว่า "โกลิอัท" ออกมาท้าทาย กองทัพอิสราเอล โกลิอัท ได้ท้าทาย ให้กองทัพอิสราเอล ส่งยอดทหารของตน ออกมาดวลกับตน แบบตัวต่อตัว เพื่อจะได้รู้กันไปเลยว่า ยอดทหารของใครแน่กว่ากัน (1ซมอ 17:8) พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า โกลิอัทตะโกนท้าทายกองทัพอิสราเอลทุกวัน เช้าเย็น ต่อเนื่องถึง 40 วัน (1ซมอ 17:16)
แต่จนแล้วจนรอด กองทัพอิสราเอล ก็ยังไม่ส่งใครออกมาตามคำท้าทายของโกลิอัท เพราะพวกเขาทุกคน ต่างท้อใจ และหวาดกลัว ยักษ์โกลิอัท
1ซมอ 17:11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก
1ซมอ 17:24 เมื่อบรรดาคนอิสราเอลเห็นชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไป กลัวเขามาก
เวลาเช้าที่โกลิอัท ออกมาตะโกนท้าทายกองทัพอิสราเอล ดังเช่นทุกวัน เป็นจังหวะพอดิบพอดีกับที่ดาวิดไปส่งเสบียงให้พี่ชายที่ค่ายทหาร ดาวิดจึงได้ยินคำท้าทายของโกลิอัท ที่สุดแล้ว ดาวิดได้อาสาตัว เป็นตัวแทนกองทัพอิสราเอล ลงไปดวลตัวต่อตัวกับโกลิอัท
1ซมอ 17:32 ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า "อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้"
การดวลระหว่างดาวิด กับโกลิอัท แท้จริงแล้ว ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างคน 2 คน เพราะ 2 คนนี้ เป็นตัวแทนของแต่ละฝ่าย ถ้าดาวิดแพ้ หมายถึงกองทัพอิสราเอลพ่ายแพ้ ผลของความพ่ายแพ้ก็คือ อิสราเอลทั้งชาติ จะตกเป็นทาส เป็นข้ารับใช้คนฟีลิสเตีย ตรงกันข้ามถ้าดาวิดชนะ นั่นหมายถึงชัยชนะของกองทัพอิสราเอล
1ซมอ 17:8-9 8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า "เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้านี่ 9 ถ้าเขาสามารถสู้รบและฆ่าตัวข้าได้ พวกเราจะยอมเป็นข้าของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าต้องเป็นข้าของพวกเรา และรับใช้เรา"
บุรุษทั้ง 2 ต่างแบบภาระหนักอึ่งไว้บนบ่าของตน ในฐานะตัวแทน ของยอดทหารแต่ละฝ่าย
สิ่งที่ผมอยากจะกล่าวในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเหตุการณ์นี้ในฝ่ายกายภาพ แต่ผมอยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์นี้ ในภาพฝ่ายวิญญาณ ในภาพเล็ง (Typology) ของเหตุการณ์นี้
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเจาะลึกเหตุการณ์นี้กัน
กองทัพอิสราเอล - ชัดเจน ว่าเป็นภาพเล็งถึงคนของพระเจ้า รวมถึงผู้เชื่อในฝ่ายวิญญาณ
ดาวิด - ชื่อของเขาแปลว่า ผู้เป็นที่รัก ดาวิดในตอนนี้ เป็นภาพเล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นบุตรที่รักของพระบิดา (มธ 3:17 "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก")
กองทัพฟีลิสเตีย - เป็นภาพเล็งถึง ผีมารวิญญาณชั่ว และอาณาจักรแห่งความมืด ที่คอยระราน คนของพระเจ้า
โกลิอัท - เป็นภาพเล็ง ถึงซาตาน ที่ตัวของโกลิอัท ได้ซ่อนเลข 666 เอาไว้ (โกลิอัท สูง "6" ศอก, สวมยุทธภัณฑ์ "6" ชิ้น และ หอกหนัก "6" ร้อยเชเขล) ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของโกลิอัท ทำจากทองสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบาป ในลานชั้นนอกของพลับพลาโมเสส ที่ใช้ในการฆ่าสัตว์ ในการถวายเครื่องบูชาไถ่บาป ภาชนะจะทำด้วยทองสัมฤทธิ์
การเผชิญหน้ากันระหว่างดาวิดกับโกลิอัทที่หุบเขาเอลาห์ จึงเป็นการเผชิญหน้าระหว่างอาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด ถ้าดาวิดแพ้ คนอิสราเอลจะตกเป็นทาสของคนฟีลิสเตีย ชัยชนะของดาวิดเหนือโกลิอัท นำมาซึ่งอิสระภาพของคนอิสราเอล
การเสด็จมาของพระเยซู เปรียบเสมือนการที่ดาวิดออกมาเผชิญหน้ากับโกลิอัท พระเยซูเป็นอาดัมที่ 2 พระองค์มาในฐานะตัวแทนของเรา ตัวแทนของมนุษยชาติ ในสวนเอเดน อาดัมที่ 1 ล้มลงในบาป และส่งมอบสิทธิการครอบครองให้กับมารซาตาน มนุษย์จากสมัยอาดัมมา ต่างอยู่ใต้อาณัติของมาร และลูกสมุน โลกถึงได้บั่นป่วน วุ่นวายไปหมด
เมื่อเราเห็นพระเยซู "ผู้เป็นบุตรที่รักของพระเจ้า (ความหมายชื่อของดาวิด) step out ในฐานะตัวแทนของฝ่ายเรา พวกเรารู้แน่ว่า ชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว โดยชัยชนะของพระเยซู ผ่านงานที่สำเร็จแล้วของพระองค์บนไม้กางเขน นำมาซึ่งการปลดปล่อยเราผู้เชื่อ ให้หลุดพ้นจากพันธการของความบาป และมารซาตาน
เมื่อมารซาตานเห็นดาวประจำรุ่งปรากฏบนท้องฟ้า มารรู้ว่า พระผู้ช่วยให้รอด เสด็จมาแล้ว มารจึงพยายามจะเก็บพระองค์ทิ้งซะ มารใช้กษัตริย์เฮโรด เป็นเครื่องมือ ที่จะสังหารพระกุมารเยซู เฮโรดสั่งประหารเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบลงมา
มธ 2:16 ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น
และมารก็ต้องล้มเหลว ไม่สามารถจะเก็บพระองค์ได้ มารจึงใช้อำนาจฝ่ายอาณาจักรอีกครั้ง ที่จะเก็บพระองค์ โดยการจับพระองค์ตรึงที่กางเขน มารดีใจอยู่ได้ประเดี๋ยวเดียว นึกว่าตนจะชนะ ที่ไหนได้ พระเจ้าทรงซ้อนแผน ไม้กางเขนกลับกลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ โดยงานที่สำเร็จแล้วบนไม้กางเขนของพระเยซู พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย แผนชั่วของมาร กลายเป็นหอกนั้น คืนสนองตนเอง กลายเป็นความอับอายของตัวเองไปในที่สุด
คส 2:15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขาและชนะเขาโดยกางเขนนั้น
โกลิอัทที่ออกมาท้าทายกองทัพอิสราเอล ที่สุดแล้ว ตนเองกลับฝ่ายพ่ายแพ้ ได้รับความอับอายเสียเอง หนำซ้ำ ดาบที่ดาวิดใช้ตัดศีรษะของโกลิอัท ก็คือดาบของโกลิอัทเองนั่นแหละ
ผมอยากจะจบบทความนี้ ด้วยการเจาะความหมายของชื่อ ชื่อ "โกลิอัท" เป็นภาษาฮีบรู มาจากรากศัพท์คำว่า galah ซึ่งมีความหมายว่า "การเนรเทศ"
การถูกเนรเทศ หมายถึงการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ชื่อของโกลิอัท จึงหมายถึง ผู้ที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง What a name! ดังที่กล่าวไว้เบื้องต้น โกลิอัท เป็นภาพเล็งถึงซาตาน โกลิอัทที่สูญเสียอาวุธให้ดาวิด เป็นภาพเล็งถึง มารซาตานที่ถูกพระเยซูปลดอาวุธ ชัยชนะบนไม้กางเขนของพระเยซู ทำให้มารสูญสิ้นทุกอย่าง อาวุธที่มารใช้ปรักปรำเราก็คือธรรมบัญญัติ พระเยซูทรงปลดอาวุธของมารแล้ว มารไม่สามารถจะปรักปรำผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ได้อีกต่อไป
รม 8:1 เหตุฉะนั้นการปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
ในพระธรรมโคโลสี บทที่ 2 ข้อ 14-15 ฉบับแปลภาษาไทย เก็บความหมายได้ไม่ดี ให้เรามาดูภาษาอังกฤษฉบับแปล New King James กัน ข้อ 15 ภาษาไทยแปลว่า พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพ แต่จริงๆ แล้ว ข้อ 15 เป็นการอธิบายข้อ 14 ในบริบทเดียวกัน ความหมายจริงๆ ของพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็คือพระองค์ทรงปลดอาวุธของมารซาตาน ซึ่งก็คือธรรมบัญญัติ คำว่า "disarmed" หมายถึงการปลดอาวุธ เป็นศัพท์ที่ใช้อยู่บ่อยครั้ง ทางการทหาร
Col 2:14-15 14having wiped out the handwriting of requirements that was against us, which was contrary to us. And He has taken it out of the way, having nailed it to the cross.
15Having disarmed principalities and powers, He made a public spectacle of them, triumphing over them in it. (NKJ)
เรามาจบบทความนี้้ ด้วยความหมายชื่อของ "ดาวิด" กัน ชื่อดาวิดแปลว่า "เป็นที่รัก" การต่อสู้ที่หุบเขาเอลาห์ คือการต่อสู้ของผู้เป็นที่รักของพระเจ้า กับผู้ที่สูญเสียทุกสิ่งอย่าง
หลังจากที่เรามารู้จักกับพระเจ้าแล้ว เรายังต้องดำเนินชีวิตในโลกต่อ ช่วงเวลาที่เราดำเนินชีวิตในโลก เราอาจต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ (ยักษ์ในที่นี้ หมายถึงอุปสรรคปัญหา) การที่เราจะล้มยักษ์ที่เราเผชิญหน้ากับมันได้ เราจำต้องรู้ว่า เราเป็นที่รักของพระเจ้า การรู้ เชื่อ และดำเนินในสัจธรรมที่ว่า พระเจ้ารักเรา และเราเป็นที่รักของพระองค์ จะเป็นกุญแจสู่การดำเนินชีวิต ที่เต็มไปด้วย สันติสุข ความชื่นชมยินดี และชัยชนะเหนืออุปสรรคปัญหาทั้งหลายทั้งปวง
มันไม่สำคัญเลยว่า ยักษ์ที่เราเผชิญ มันจะเป็นอะไร ไม่ว่าปัญหาในชีวิตสมรส, ปัญหาครอบครัว, ปัญหาการเงิน และปัญหาหนักๆ ทั้งหลาย ให้เราเริ่มมองตัวเรา อย่างที่พระเจ้าทรงมอง โดยงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซู พระเจ้ามองว่า เราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ เมื่อไหร่ที่เราเห็นตัวเอง เหมือนอย่างที่พระเจ้าเห็น เมื่อนั้น ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเรา จะล้มลงแทบเท้าเรา เหมือนดังที่โกลิอัท ล้มลงที่เท้าของดาวิด
เอเมน เราเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรัก
ตอบลบ