เรื่อง 3 ขุนเขานี้ เป็นเรื่องของอาลีบาบา (อย่าไปหาคำๆ นี้ในพระคัมภีร์นะครับ เพราะเป็นคำที่ผมตั้งขึ้นมาเอง เพื่อจะสะท้อนถึงคนชื่อ "บา" 2 คนในพระคัมภีร์) บา-แรก คือบาลาค (Balak) บา-ที่สอง ก็คือ บาลาอัม (Balaam)
มาดูบา-แรกกันก่อน "บาลาค" เป็นกษัตริย์เมืองโมอับ
ขณะที่บา-ที่สอง "บาลาอัม" เป็นจอมขมังเวทย์
เรื่องของอาลีบาบา เกิดขึ้นในช่วง 40 ปีที่คนอิสราเอลต้องเดินวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ในบทที่ 21 ของหนังสือกันดารวิถี คนอิสราเอลได้ส่งผู้สื่อสารไปหาสิโหนกษัตริย์คนอโมไรต์ เพื่อจะขอเดินผ่านแผ่นดินของคนอโมไรต์ โดยคนอิสราเอลได้ให้สัตยาบรรณว่า จะไม่แตะต้องสิ่งของของคนอโมไรต์ รวมถึงจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อด้วย แต่สิโหนไม่ยอม และได้รวบรวมพรรคพวกออกมาสู้รบกับคนอิสราเอล ผลก็คือสิโหนโดนคนอิสราเอลเก็บ (กดว 21:21-24)
หลังจากที่เก็บสิโหนแล้ว คนอิสราเอลได้ยึดเอาแผ่นดินทั้งหมดของคนอโมไรต์ ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจนถึงแถวยับบอก ไกลไปจนถึงแผ่นดินของคนอัมโมน (กดว 21:24-26)
จบศึกสิโหนยังไม่ทันได้พัก โอกกษัตริย์เมืองบาชานก็นำไพร่พลออกมาสู้รบกับคนอิสราเอล ผลการปะทะกันก็คือ กษัตริย์โอกก็เป็นอีกหนึ่งรายที่โดนคนอิสราเอลเก็บ หลังจากเก็บโอกแล้ว คนอิสราเอลได้เข้ายึดแผ่นดินทั้งหมดของคนบาชาน
จากนั้นคนอิสราเอลได้เคลื่อนพล ไปตั้งค่าย ณ ที่ราบโมอับฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
บาลาค บุตรศิปโปร์กษัตริย์ของคนโมอับ เห็นว่าคนอิสราเอล ได้มาตั้งค่ายอยู่ประชิดพรมแดนของตน จึงเกิดความหวาดกลัว
กดว 22:1-3 1 แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้ใกล้เมืองเยรีโค 2 ฝ่ายบาลาคบุตรชายศิปโปร์ได้เห็นการทั้งปวงซึ่งอิสราเอลได้กระทำต่อคนอาโมไรต์ 3 ทั้งโมอับก็ครั่นคร้ามต่อชนชาตินั้นนักหนา เพราะเขามีคนมากด้วยกัน โมอับกลัวคนอิสราเอลลานทีเดียว
บาลาคในฐานะกษัตริย์ และผู้บัญชาการสูงสุดของโมอาบ ต้องพยายามหาวิธี ที่จะสกัดกั้นคนอิสราเอลไม่ให้รุกคืบต่อ เพราะถ้าคนอิสราเอลรุกคืบต่อ นั่นหมายความว่า โมอับคือรายต่อไป จากที่ได้ประเมินสถานการณ์ล่าสุด พร้อมกับทีมข่าวกรองของโมอาบ บาลาคคงรู้ว่า การระดมไพร่พลออกไปรบกับคนอิสราเอล ก็คงจะจบเช่นเดียวกับสิโหน และโอก ดังนั้นเองบาลาคจึงคิดนอกกรอบ คิดใหม่ ทำใหม่
วิธีที่บาลาคจะใช้รับมือกับคนอิสราเอลก็คือ ใช้มนต์ดำของจอมขมังเวทย์ ชื่อดังในเวลานั้น "บาลาอัมบุตรเบโอร์" บาลาอัมคนนี้ เป็นที่ยอมรับว่า ถ้าเขาผู้นี้แช่งสาปผู้ใด ผู้นั้นเสร็จแน่นอน (กดว 22:6)
การแช่งสาปได้ทำกันถึง 3 ครั้ง 3 ครา บน 3 ขุนเขาด้วยกัน: บาโมทบาอัล, ปิสกาห์ และเปโอร์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทุกครั้งที่บาลาอัม จะแช่งสาปคนอิสราเอล พระเจ้าได้เปลี่ยนคำแช่งสาปทั้ง 3 ครั้ง ให้กลายเป็นคำอวยพร (กดว 23-24)
ทำให้กษัตริย์บาลาคโกรธบาลาอัมเป็นอย่างมาก
กดว 24:10 บาลาคก็โกรธบาลาอัม จึงตบมือ แล้วบาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "เราเชิญท่านมาให้แช่งศัตรูของเรา และดูเถิด ท่านได้อวยพรแก่เขาถึงสามครั้ง"
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะจบบทความนี้ ด้วยพระคัมภีร์ 2 ตอน ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตอนนี้
พระคัมภีร์ตอนแรกอยู่ในพระคัมภีร์กันดารวิถี บทที่ 24 เป็นคำพยากรณ์ของบาลาอัม ที่พระเจ้าได้ใส่ถ้อยคำไว้ในปากของเขา
กดว 23:19-23 19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ 20 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้อวยพร พระองค์ได้ทรงอำนวยพร และข้าพเจ้าจะเรียกกลับไม่ได้ 21 พระองค์ได้ทอดพระเนตรว่าไม่มีความชั่วช้าในยาโคบ และทรงเห็นว่าไม่มีความชั่วร้ายในอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาอยู่กับเขา และเสียงโห่ร้องถวายพรพระมหากษัตริย์อยู่ท่ามกลางเขา 22 พระเจ้าทรงนำเขาออกจากอียิปต์ ทรงเป็นเสมือนเขาโคกระทิงเพื่อเขา 23 ไม่มีการถือลางต่อต้านยาโคบ ไม่มีการทำนายต่อต้านอิสราเอล ถึงเวลาแล้วยาโคบและอิสราเอลก็จะได้รับคำบอกว่า `พระเจ้าจะทรงกระทำอะไร'
เรามาดูสิ่งที่พระเจ้าพูดกันสักนิดนะครับ ข้อ 19 อะไรที่พระเจ้าลั่นวาจาแล้ว by all means พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน พระเจ้าของเราไม่เคยโกหก พระองค์ไม่เคยหลอกเรา พี่น้องที่รัก พระสัญญาทุกข้อทุกตอน ทุกคำสัญญาของพระเจ้า จะสำเร็จเป็นจริงอย่างแน่นอน ส่วนของเรา คือ "เชื่อและวางใจในพระองค์"
เหตุผลเดียวที่ทำให้คนอิสราเอลรุ่นแรก รุ่นอพยพนี้ [ยกเว้นโยชูวา และคาเลบ] ไม่ได้เข้าในดินแดนแห่งพันธสัญญาที่มีน้ำผึ้งและน้ำนมไหลผ่าน ก็คือ พวกเขาเชื่อสถานการณ์ เชื่อสิ่งที่พวกเขาเห็นมากกว่า สิ่งที่พระเจ้าบอกเขา ถ้าเราลองอ่าน รายงานผู้สอดแนม 10 คนดู เราจะพบว่า หลายสิ่งที่พวกเขาพูด ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง (fact) มีส่วนความคิดเห็นของพวกเขาอยู่บ้างบางส่วน
พวกเขาสรุป สถานการณ์ (draw conclusion) โดยใช้ facts ที่พวกเขามองเห็น สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อสาร ก็คือ facts ก็คือ facts เราไม่ได้ปฏิเสธ facts แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ facts นั้นขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าตรัส facts นั้นก็เป็นอันตกไป เราต้องไม่ยก facts ขึ้นเหนือพระวจนะของพระเจ้า เมื่อไหร่เรามองสถานการณ์ ในระนาบเดียวกับพระเจ้า และเห็นพ้องกับพระองค์ โดยยึดมั่น ในสิ่งที่พระเจ้าตรัส เมื่อนั้น ตาเราจะได้เห็นว่า พระเจ้าของเรา ไม่เคยมุสา พระเจ้าของพวกเรา เป็นพระเจ้าที่ยึดมั่นในคำสัญญา ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของพระองค์จะสูญหายไปสักคำก็หามิได้เลย
ดูสิ่งที่พระเจ้าพูดซิครับ ในข้อ 21 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่มีความชั่วช้าในยาโคบ" จากนั้นในข้อเดียวกัน พระเจ้าย้ำอีกเป็นหนที่สองกลัวว่าเราจะไม่ get it ว่า "ไม่มีความชั่วร้ายในอิสราเอล" ถ้าเรามองดูในชุมชนอิสราเอล เรารู้แน่อยู่แก่ใจว่า มีความชั่วช้าอย่างแน่นอน แต่อะไรทำให้พระเจ้ามองว่า พวกเขาชอบธรรม
คนอิสราเอล ได้รับพระพรด้วยเลือดแพะเลือดแกะ เหตุการณ์ประหารบุตรหัวปีคนอียิปต์ บุตรหัวปีของพวกเขาไม่โดนประหารไปด้วย ก็เพราะโลหิตที่ทาอยู่ที่วงกลบประตูบ้านของพวกเขา (อพย 12:13) ไม่เพียงแค่นั้น ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาออกจากอิยิปต์อย่างมั่งคั่ง (อพย 12:35-26) ไม่เพียงมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย พวกเขายังมีสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ไม่มีคนเจ็บป่วยท่ามกลางพวกเขา คนร่วม 3 ล้านคน ไม่มีใครเจ็บป่วยเลย (สดด 105:37)
คนอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิม ภายใต้พันธสัญญาเดิมที่ด้อยกว่า เพราะพันธสัญญาของพวกเขา เป็นพันธสัญญาที่อยู่ภายใต้การปกคลุมด้วยเลือดแพะเลือดแกะ ที่ต้องทำปีต่อปีในวันลบมลทิน (Day of Atonement) ที่เป็นเพียงเงา (shadow) ของแก่นสารที่แท้จริง (substance) ซึ่งก็คือการไถ่บาป ด้วยพระโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ ยังได้รับพระพร มากมายขนาดนั้น ไม่ว่าจะด้านทรัพย์สินเงินทอง และสุขภาพที่ดี ทำไมพวกเรา ผู้เชื่อภายใต้พันธสัญญาใหม่ ที่สมบูรณ์แบบจะได้พระพรที่น้อยกว่า หรือด้อยกว่า? It doesn't make sense at all.
คนยิวที่ถูกปกคลุมด้วยเลือดแพะเลือดแกะ พระเจ้ายังมองว่าพวกเขา "ชอบธรรม" พระองค์ย้ำถึงสองครั้งสองคราว่า "ไม่มีความชั่วช้าท่ามกลางพวกเขา" พวกเราผู้เชื่อภายใต้พันธสัญญาใหม่ ที่ได้รับการล้างชำระความบาปออกไปหมดสิ้น ด้วยพระโลหิตของพระเยซู จึงเป็นผู้ชอบธรรม มิใช่โดยการกระทำดีของเรา แต่โดยความชอบธรรมที่พวกเราได้รับมาเป็นของประทาน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "Gift of Righteousness" ความชอบธรรมเป็นของประทาน เป็น Gift ที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำดี ของพวกเรา และนี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า "พระคุณอันไพบูลย์ [abundance of grace]"
รม 5:17 เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระคุณอันไพบูลย์และรับของประทานแห่งความชอบธรรม ก็จะดำรงชีวิตและครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์)
Rom 5:17 For if by the one man's offense death reigned through the one, much more those who receive abundance of grace and of the gift of righteousness will reign in life through the One, Jesus Christ.) (NKJ)
พระคุณพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ให้พวกเรามั่นใจ ในพันธสัญญาของพระเจ้า พวกเราผู้เชื่อภายใต้พันธสัญญาใหม่ จะเห็นพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมอย่างแน่นอน
ข้อ 23 ในพระคัมภีร์ภาษาไทย แปลว่า "ไม่มีการถือลางต่อต้านยาโคบ" ในภาษาอังกฤษฉบับแปล New King James ใช้คำว่า "For there is no sorcery against Jacob" คำว่า "sorcery" ตรงนี้ ฉบับแปลภาษาอังกฤษ จะให้ความหมายได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาฮีบรูมากกว่า ในภาษาฮีบรู ใช้คำว่า "nachash" มีความหมายรวมถึง การปลุกเสก, คาถาอาคม, เวทมนตร์ และการทำนาย
ไม่มีใครจะสามารถทำร้ายคริสเตียนผู้เชื่อด้วยเวทมนตร์, คาถาอาคม หรือจะด้วยการปลุกเสกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าวันนี้ เราเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ เราไม่ต้องกลัวมนตร์ดำอะไรทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าจะทรงปกป้องพวกเราเหมือนที่พระองค์ทรงปกป้องคนอิสราเอล
คำถามตามมาว่า ทำไมพระเจ้าถึงดีกับพวกเราขนาดนี้? ทำไมพระองค์ถึงคอยปกป้อง ดูแลพวกเรา? คำตอบอยู่ในพระคัมภีร์ข้อที่สอง และเป็นข้อสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวถึง และจบบทความนี้
ฉธบ 23:5 อย่างไรก็ดีพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านมิได้ฟังบาลาอัม แต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเปลี่ยนคำสาปแช่งให้เป็นคำอวยพรท่าน เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงรักท่าน
เหตุผลเพียงข้อเดียว ที่ขับเคลื่อนให้พระองค์ทำสิ่งสารพัดให้เรา เหตุผลเพียงข้อเดียว ที่ทำให้พระเยซูเสด็จมา และตายแทนเรา เพื่อไถ่บาปให้พวกเราก็คือ "พระเจ้ารักเรา"
ความเข้าใจ และตระหนักว่าพระเจ้ารักเรา มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายในชีวิต ความเชื่อมั่นในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เป็นเกราะป้องกันเราจากทุกอุปสรรคปัญหา และการโจมตีของผีมารซาตาน
ให้วันนี้เราเชื่อมั่นในความรักของพระเจ้า พระเจ้ารักเราเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง วันไหนที่เราเผชิญความยากลำบากในชีวิต ให้เรามองกลับไปที่ไม้กางเขนของพระเยซู ที่นั่น พระเจ้าได้แสดงออกถึงความรักที่พระองค์มีต่อเรา พระเจ้ารักเราเสมอ และจะช่วยเราอย่างแน่นอน ไม่ขึ้นกับความรู้สึกของเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าพระเจ้ารักเราหรือไม่? ความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็คือ พระเจ้ารักเรา รักเราเสมอ รักมาโดยตลอด
เมื่อไหร่ที่เราเริ่มตระหนักว่าพระเจ้ารักเรา เมื่อนั้น ความกังวล จะเปลี่ยนเป็นความไว้วางใจ อย่ามองที่สถานการณ์ อย่าจดจ่อแต่ที่ปัญหา แต่ให้เราสารภาพ พระสัญญาของพระเจ้าเหนือสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ
ถ้าวันนี้เราเผชิญกับความเจ็บป่วย ให้เราสารภาพพระวจนะพระเจ้าเหนือความเจ็บป่วยของเราว่า "ด้วยรอยเฆี่ยนของพระองค์ ลูกได้รับการรักษาให้หาย" (อสย 53:5, 1ปต 2:24)
ถ้าเรากำลังเผชิญหน้ากับความตรึงเครียดทางด้านการเงิน เราให้สารภาพพระวจนะของพระเจ้าเหนือสถานการณ์ว่า "พระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดตามที่ข้าพเจ้าต้องการนั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์โดยพระเยซูคริสต์" (ฟป 4:19) อย่าไปมองที่เงินในบัญชีของเรา แล้วสูญเสียความเชื่อ แต่ให้มองไปที่พระเยซู พระองค์จะประทานสิ่งสารพัด พระเจ้าจะช่วยเรา
ถ้าวันนี้ มีบางสิ่งบางอย่าง ทำให้เรากลัว ให้เราพุดพระวจนะพระเจ้าเหนือความกลัวนั้นว่า "พระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา" (2ทธ 1:7) หลังจากสารภาพ ถ้าความกลัวยังกลับมาอีกละ ก็ให้เราสารภาพไปเรื่อยๆ พระสัญญาของพระเจ้าใหญ่กว่าปัญหาของเราเสมอ
สารภาพไปเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อ เชื่อว่าพระเจ้ารักเรา สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นในชีวิตของคนที่เชื่อว่าพระเจ้ารักเขาและเธอเสมอ
มีเพลงที่คริสตจักรเด็กหลายๆ ที่ชอบใช้ ผมว่าเพลงนี้ เป็นเพลงที่เหมาะกับผู้ใหญ่ เป็นเพลงที่ผู้ใหญ่ต้องการมากกว่าเด็ก เป็นเพลงที่เหมาะกับการร้องเวลาอาบน้ำ :)
Jesus loves me! This I know,
For the Bible tells me so;
Little ones to Him belong,
They are weak but He is strong.
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
The Bible tells me so.
Jesus loves me! He who died,
Heaven's gate to open wide;
He will wash away my sin,
Let His little child come in.
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
The Bible tells me so.
Jesus loves me! loves me still,
When I'm very weak and ill;
From His shining throne on high,
Comes to watch me where I lie.
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
The Bible tells me so.
Jesus loves me! He will stay,
Close beside me all the way;
He's prepared a home for me,
And some day His face I'll see.
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
Yes, Jesus loves me!
The Bible tells me so.
Thank you God for your love to me.
ตอบลบ