เรารู้ว่าคนอิสราเอล หรือคนยิวเป็นชนชาติของพระเจ้า และด้วยความที่คนอิสราเอลเป็นชนชาติของพระเจ้า หลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับคนยิว จึงมีความน่าสนใจ น่าศึกษา ในบทความนี้ ผมอยากจะพูดถึงภาษาฮีบรู ซึ่งเป็นภาษาที่คนอิสราเอลใช้ อีกทั้งยังเป็นภาษาที่ใช้บันทึกพระคัมภีร์เดิมอีกด้วย
ถ้าพูดถึงฉบับแปลพระคัมภีร์ในภาษาอังกฤษ จะมีมากมายหลายฉบับ แต่มีอยู่ฉบับหนึ่ง ที่มีความน่าสนใจ คือ ฉบับแปลที่เรียกว่า Young's Literal Translation (YLT) ของ Robert Young (โรเบิร์ต ยัง) นักศาสตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรู ชาวสกอตแลนด์
สิ่งที่ทำให้ฉบับแปล YLT มีความน่าสนใจก็คือ YLT แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาอังกฤษตามความหมายที่แท้จริง (Literal) โดยเฉพาะเรื่องของกาล [เวลา] (Tense) ตามต้นฉบับภาษาฮีบรู ในขณะที่ฉบับแปลยอดนิยม King James (คิง เจมส์) และ New King James (นิว คิง เจมส์) จะแปลออกมาตามความไหลลื่นของภาษาอังกฤษเป็นหลัก
สิ่งที่ทำให้ฉบับแปล YLT มีความน่าสนใจก็คือ YLT แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาอังกฤษตามความหมายที่แท้จริง (Literal) โดยเฉพาะเรื่องของกาล [เวลา] (Tense) ตามต้นฉบับภาษาฮีบรู ในขณะที่ฉบับแปลยอดนิยม King James (คิง เจมส์) และ New King James (นิว คิง เจมส์) จะแปลออกมาตามความไหลลื่นของภาษาอังกฤษเป็นหลัก
1. เรื่องของกาล (Tense): ภาษาฮีบรูเป็นภาษาที่ไม่มีอนาคตกาล (Future Tense) จะมีแค่ปัจจุบันกาล (Present Tense) และอดีตกาล (Past Tense) เวลาที่คนฮีบรู จะกล่าวถึงสิ่งที่แน่นอน แม้ว่าสิ่งนั้นจะยังไม่เกิดขึ้น พวกเขาจะใช้ Past Tense ในการกล่าวถึงเหตุการณ์นั้นๆ ราวกับว่า เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น และสำเร็จไปแล้ว
ในภาษาอังกฤษอดีตกาล (Past Tense) จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ ที่สำเร็จ จบ หรือเสร็จสิ้นไปแล้วในอดีต ภาษาอังกฤษ จะไม่ใช้ Past Tense ในการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
2. เรื่องของการมีส่วนร่วม: เวลาที่คนฮีบรูกล่าวถึงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ว่าเหตุการณ์นั้น จะเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว หรือเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น คนฮีบรูจะกล่าวถึงเหตุการณ์นั้นๆ ราวกับว่า พวกเขาได้ย้ายตัวเอง ไปอยู่ ณ จุดนั้นของเวลา และสถานที่นั้น ซึ่งตรงนี้ จะแตกต่างจากในโลกตะวันตก เวลาที่คนโลกตะวันตก กล่าวถึงเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีต หรือยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต คนตะวันตก จะใช้กาล (Tense) ในการอธิบายถึงเหตุการณ์นั้นๆ ถ้าคนตะวันตกกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต พวกเขาจะใช้กริยาที่เป็นอดีตกาล (Past Tense) แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอนาคต พวกเขาจะใช้กริยาที่เป็นอนาคตกาล (Future Tense) ผิดกับคนฮีบรู คนฮีบรูจะใช้ปัจจุบันกาล (Present Tense) ในการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต หรือในอนาคต ราวกับพวกเขาได้อยู่ในเหตุการณ์ และสถานที่นั้นๆ ด้วย
สรุปอย่างสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ เวลาที่คนยิวกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิด พวกเขาจะกล่าวถึงเหตุการณ์นั้นด้วยกริยาที่เป็นอดีตกาล (Past Tense) ราวกับว่าเหตุการณ์นั้น ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต ยิ่งคิดยิ่งอัศจรรย์ พระเจ้าให้ภาษาที่ไม่มีอนาคตกาลกับคนของพระองค์ นี่คือวิธีพูดของพระเจ้า พระเจ้าพูดราวกับว่า สิ่งที่พระองค์บอกได้เกิดขึ้นไปแล้ว
ทีนี้เรามาดูตัวอย่างกันสักหน่อยนะครับ เพื่อจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
ผมขออ้างอิงพระคัมภีร์ 3 ฉบับประกอบกัน ฉบับภาษาไทย, ฉบับ New King James (NKJ) และฉบับ Young Literal Translation (YLT)
ปฐก 17:4-5 4 สำหรับเรา ดูเถิด นี่เป็นพันธสัญญาของเรากับเจ้า และเจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย 5 ชื่อของเจ้าจะไม่เรียกว่า อับราม อีกต่อไป แต่เจ้าจะมีชื่อว่า อับราฮัม เพราะเราจะกระทำให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย
Gen 17:4-5 4 "As for Me, behold, My covenant is with you, and you shall be a father of many nations. 5"No longer shall your name be called Abram, but your name shall be Abraham; for I have made you a father of many nations. (NKJ)
Gen 17:4-5 4 `I -- lo, My covenant [is] with thee, and thou hast become father of a multitude of nations; 5 and thy name is no more called Abram, but thy name hath been Abraham, for father of a multitude of nations have I made thee; (YLT)
ดูจากฉบับแปลทั้ง 3 เราจะสังเกตว่า ภาษาไทยเหมือนจะแปลแย่กว่าเพื่อน โดยเฉพาะตอนท้ายของข้อ 5 แต่ก็จะมีความใกล้เคียงกับฉบับ NKJ และด้วยความที่ ฉบับภาษาไทยใกล้เคียงกับ NKJ ผมจะขอเปรียบเทียบแค่ NKJ กับ YLT
ขอเล่าที่มาที่ไปของพระคัมภีร์ตอนนี้สักหน่อยนะครับ
พระคัมภีร์ในตอนนี้ เป็นตอนที่พระเจ้ามาปรากฏกับอับราม พระเจ้าทำ 2 อย่าง หนึ่งให้พระสัญญากับอับรามว่า เขาจะได้เป็นบิดาของบรรดาประชาชาติ และสองเปลี่ยนชื่อเขาจากอับราม เป็นอับราฮัม
ในฉบับ NKJ ข้อ 4 ใช้คำว่า "you shall be a father of many nations." ข้อ 5 "your name shall be Abraham"กาลที่ใช้ตรงนี้ เป็นอนาคตกาล (Future Tense) ความหมายของคำว่า "shall be" คือ ตอนที่กล่าว ยังไม่ได้เป็น แต่จะเป็นในอนาคต ถ้าจะแปล 2 ประโยคนี้ ตาม Tense ของภาษา จะแปลออกมาได้ว่า ข้อ 4 "ในอนาคต (ตอนที่กล่าว ยังไม่เป็น) อับรามจะเป็นบิดาของบรรดาประชาชาติ" ข้อ 5 "ในอนาคต (ตอนที่กล่าว ยังไม่ถูกเปลี่ยน) ชื่อของอับราม จะเปลี่ยนเป็นอับราฮัม"
ทีนี้ลองมาดูความหมายที่พระเจ้าพูดในภาษาฮีบรูตาม YLT กันนะครับ ข้อ 4 "thou hast become father of a multitude of nations." ข้อ 5 "thy name hath been Abraham." ภาษาค่อนข้างจะอังกฤษโบราณสักหน่อยแบบ Old King James Version ผมขออนุญาต modernize (ทำให้เป็นอังกฤษสมัยใหม่หน่อยนะครับ) เหมือนฉบับ New King James ที่เป็นฉบับ modernized version ของ King James Version
NYLT ข้อ 4 "you have become father of a multitude of nations" ข้อ 5 "your name had been Abrahm" พี่น้องเห็นไหมครับว่า กาล (Tense) ที่ใช้ตรงนี้ จะต่างกับใน NKJ ใน NKJ จะเป็น Future Tense ในขณะที่ NYLT เป็น Present Perfect Tense (ข้อ 4) and Past Perfect Tense (ข้อ 5)
Present Perfect กับ Past Perfect มันคืออะไร??
ผมขออนุญาตเป็นครูภาษาอังกฤษสักหน่อยนะครับ
Present Perfect Tense เป็น tense ที่แสดงออกถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน (เหมือนรูปด้านบน)
ในขณะที่ Past Perfect Tense แสดงออกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต
ดังนั้นถ้าจะแปล NYLT ออกมาเป็นภาษาแบบบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายๆ จะแปลออกมาได้ว่า "พระเจ้าได้เปลี่ยนชื่ออับรามเป็นอับราฮัมนานแล้ว [เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต] และอับราฮัมได้เป็นบิดาของบรรดาประชาชาติมาแล้วในอดีต และยังคงเป็นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน"
เอ๋.. ตอนนี้อับราฮัมยังไม่มีลูกสักคนเลยนะ (ลูกที่เกิดจากซาราห์ตามพระสัญญาของพระเจ้า)? หนำซ้ำซาราห์ภรรยาของอับราฮัมยังเป็นหมันอีกต่างหาก ลองใคร่ครวญพระวจนะตอนนี้ดูนะครับ มันลึกซึ้งมาก ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงกับเรา ณ จุดนี้ของเวลา ที่อับราฮัมยังไม่มีลูก และซาราห์ก็เป็นหมัน พระเจ้าทรงมองว่าอับราฮัมเป็นบิดาของบรรดาประชาชาติแล้ว
สิ่งที่เราเรียนรู้จากตรงนี้ ก็คือวิธี และสไตล์การพูดของพระเจ้า พระเจ้าพูดถึงอนาคต ราวกับว่าเหตุการณ์นั้นๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้ามองอนาคตเหมือนพระองค์มองปัจจุบัน เพราะพระเจ้าทรงอยู่เหนือการเวลา พระเจ้าทรงเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปพร้อมๆ กัน
การเข้าใจวิธีพูดของพระเจ้า จะทำให้เราเข้าใจพระคัมภีร์หลายๆ ตอน และสามารถแปลพระคัมภีร์หลายๆ ตอนออกมาได้อย่างถูกต้อง และตรงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราพูดเหมือนพระเจ้าพูด คำตอบก็คือ เราจะได้ผลแบบที่พระเจ้าตั้งใจ
วันนี้ขอจบตอนที่ 1 ไว้ตรงนี้นะครับ ตอนหน้า เราจะมาสำรวจพระคัมภีร์ ด้วยวิธีคิด และมุมมองแบบคนฮีบรูกัน
When we speak like God, we can't help but get God's results.
ทีนี้ลองมาดูความหมายที่พระเจ้าพูดในภาษาฮีบรูตาม YLT กันนะครับ ข้อ 4 "thou hast become father of a multitude of nations." ข้อ 5 "thy name hath been Abraham." ภาษาค่อนข้างจะอังกฤษโบราณสักหน่อยแบบ Old King James Version ผมขออนุญาต modernize (ทำให้เป็นอังกฤษสมัยใหม่หน่อยนะครับ) เหมือนฉบับ New King James ที่เป็นฉบับ modernized version ของ King James Version
NYLT ข้อ 4 "you have become father of a multitude of nations" ข้อ 5 "your name had been Abrahm" พี่น้องเห็นไหมครับว่า กาล (Tense) ที่ใช้ตรงนี้ จะต่างกับใน NKJ ใน NKJ จะเป็น Future Tense ในขณะที่ NYLT เป็น Present Perfect Tense (ข้อ 4) and Past Perfect Tense (ข้อ 5)
Present Perfect กับ Past Perfect มันคืออะไร??
ผมขออนุญาตเป็นครูภาษาอังกฤษสักหน่อยนะครับ
Present Perfect Tense เป็น tense ที่แสดงออกถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน (เหมือนรูปด้านบน)
ในขณะที่ Past Perfect Tense แสดงออกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต
ดังนั้นถ้าจะแปล NYLT ออกมาเป็นภาษาแบบบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายๆ จะแปลออกมาได้ว่า "พระเจ้าได้เปลี่ยนชื่ออับรามเป็นอับราฮัมนานแล้ว [เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต] และอับราฮัมได้เป็นบิดาของบรรดาประชาชาติมาแล้วในอดีต และยังคงเป็นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน"
เอ๋.. ตอนนี้อับราฮัมยังไม่มีลูกสักคนเลยนะ (ลูกที่เกิดจากซาราห์ตามพระสัญญาของพระเจ้า)? หนำซ้ำซาราห์ภรรยาของอับราฮัมยังเป็นหมันอีกต่างหาก ลองใคร่ครวญพระวจนะตอนนี้ดูนะครับ มันลึกซึ้งมาก ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงกับเรา ณ จุดนี้ของเวลา ที่อับราฮัมยังไม่มีลูก และซาราห์ก็เป็นหมัน พระเจ้าทรงมองว่าอับราฮัมเป็นบิดาของบรรดาประชาชาติแล้ว
สิ่งที่เราเรียนรู้จากตรงนี้ ก็คือวิธี และสไตล์การพูดของพระเจ้า พระเจ้าพูดถึงอนาคต ราวกับว่าเหตุการณ์นั้นๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้ามองอนาคตเหมือนพระองค์มองปัจจุบัน เพราะพระเจ้าทรงอยู่เหนือการเวลา พระเจ้าทรงเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปพร้อมๆ กัน
การเข้าใจวิธีพูดของพระเจ้า จะทำให้เราเข้าใจพระคัมภีร์หลายๆ ตอน และสามารถแปลพระคัมภีร์หลายๆ ตอนออกมาได้อย่างถูกต้อง และตรงกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราพูดเหมือนพระเจ้าพูด คำตอบก็คือ เราจะได้ผลแบบที่พระเจ้าตั้งใจ
วันนี้ขอจบตอนที่ 1 ไว้ตรงนี้นะครับ ตอนหน้า เราจะมาสำรวจพระคัมภีร์ ด้วยวิธีคิด และมุมมองแบบคนฮีบรูกัน
When we speak like God, we can't help but get God's results.
พระเจ้าอยู่เหนือกาลเวลา และสิ่งใดที่พระองค์ทรงตรัส เป็นจริงเสมอ พระเจ้านั้นแสนยิ่งใหญ่ สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าค่ะ
ตอบลบลึกซึ้งมากค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ