สิ่งที่ทำให้พระเจ้าของคริสเตียนแตกต่าง ก็คือพระเจ้าของคริสเตียนเป็นฝ่ายออกตามหามนุษย์ มีปรัชญาความเชื่อหลายๆ ปรัชญาที่มนุษย์ต้องเป็นฝ่ายตะเกียกตะกายกระเสือกกระสน ไปหาพระเจ้า ด้วยกำลังของตนเอง วิธีการก็แตกต่างกันไป บางปรัชญาเชื่อว่า ด้วยวิธีการต่างๆ ที่มนุษย์ทำ ท้ายที่สุดมนุษย์สามารถกลายเป็นพระเจ้าซะเอง (เหมือนหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง)
พระเจ้าได้สำแดงพระองค์เองกับเราผ่านหลายๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะทางการทรงสร้าง, ทางผู้เผยพระวจนะ, ทางพระคัมภีร์ (ซึ่งถือเป็นการสำแดงที่มีสิทธิอำนาจสูงสุด) ฯลฯ
วันนี้ผมอยากจะพูดถึงหนึ่งในการสำแดงของพระเจ้า นั่นก็คือ การสำแดงผ่านพระนามของพระเจ้า หนึ่งในหลักการตีความพระคัมภี่ร์ ก็คือ การดูความหมายของชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน หรือชื่อสถานที่ มีพระคัมภีร์หลายตอน ที่เมื่อเราอ่าน เหมือนจะไม่มีความหมายอะไร เพราะเต็มไปด้วยชื่อคน แต่จริงๆ แล้ว ตอนนั้นๆ ได้ซ่อนความล้ำลึกอยู่ในชื่อของคนที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง
วันนี้เราจะมาแกะรอยพระนามพระเจ้ากัน...
ใน 2 บทความก่อน ผมได้กล่าวถึง พันธสัญญาทั้งสอง คือพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ ในบทนั้น สิ่งที่เราได้เรียนรู้ร่วมกันก็คือ พระเจ้าได้ทดแทนพันธสัญญาเดิมด้วยพันธสัญญาใหม่
ในพันธสัญญาทั้งสอง เราได้เห็นพระเจ้าสำแดงพระองค์เอง ด้วยพระนามต่างๆ แก่เรามากมาย หลายพระนาม
ตัวอย่างพระนามที่พระเจ้าสำแดงผ่านคนในพันธสัญญาเดิม
Elohim - พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เดช (ปฐก 1:1); Adonai - พระเจ้าจอมเจ้านาย (ปฐก 15:2); Yahweh - พระเจ้าแห่งพันธสัญญา (อพย 3:14); Jehovah Jireh - พระเจ้าผู้ทรงจัดสรร (ปฐก 22:14); Jehovah Rophe - พระเจ้าผู้ทรงรักษา (อพย 15:26); Jehovah Nissi - พระเจ้าผู้เป็นธงชัย (อพย 17:15-16); Jehovah Shalom - พระเจ้าแห่งสันติสุข (วนฉ 6:24); Jehovah Tsidkenu - พระเจ้าผู้ชอบธรรม (ยรม 23:6) ฯลฯ
พระนามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นการสำแดงที่พระเจ้า สำแดงกับคนในพันธสัญญาเดิม
วันนี้เราไม่ได้อยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิมแห่งธรรมบัญญัติอีกแล้ว แต่อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่แห่งพระคุณพระเจ้า คำถามที่ตามมาก็คือ ในพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าสำแดงพระนามอะไรกับพวกเราบ้าง? ความเข้าใจ ในการสำแดงของพระเจ้า ที่ถูกยุคถูกสมัย จะช่วยให้เรา สามารถจะเข้าหา และสัมพันธ์กับพระเจ้า ได้อย่างมีความเข้าใจ Only right believing produces right living. ผลของความเข้าใจที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งสันติสุข และความชื่นชมยินดี ตลอดจนได้รับพระพรแห่งพันธสัญญาใหม่อย่างสูงสุด
ก่อนที่พวกเราจะมาแกะรอยพระนามพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่ ผมอยากปูฟื้น ความเข้าใจเกี่ยวกับชื่อในพระคัมภีร์สักหน่อย ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนถึงพระคัมภีร์ใหม่ เราจะพบว่า พระเจ้าให้ความสำคัญกับชื่ออยู่ไม่น้อย
เราลองมาดูตัวอย่างเป็นน้ำจิ้มกันสักเล็กน้อยนะครับ พระเจ้าเปลี่ยนชื่ออับราม เป็นอับราฮัม (ปฐก 17:5) อับราม แปลว่า บิดาที่ได้รับการยกย่อง ในขณะที่อับราฮัม แปลว่า บิดาของบรรดาประชาชาติ ทำไมพระเจ้าเปลี่ยนชื่ออับราม เป็นอับราฮัม เหตุผลก็เพราะว่า พระเจ้าต้องการจะอวยพรอับราฮัม ให้มีลูกหลานดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล เมื่อเปลี่ยนชื่อสามีแล้ว จะไม่เปลี่ยนชื่อภรรยา ก็ดูกระไรอยู่ ใน ปฐก 17:15 พระเจ้าได้เปลี่ยนชื่อ ซาราย เป็น ซาราห์ จะว่าไปแล้ว จะซาราย หรือซาราห์ ก็มีความหมายเหมือนกันว่า "เจ้าหญิง" จริงๆ แล้ว ความล้ำลึก ได้ถูกซ่อนเอาไว้ ในชื่อใหม่ของสามีภรรยาคู่นี้ ที่เป็นภาษาฮีบรู ให้เรามาดูภาษาฮีบรูกันสักนิดนะครับ
(ภาษาฮีบรู อ่านจากขวาไปซ้าย)
אברהם abraham
אברם abram
שרי sarai
שרה sarah
אברם abram
שרי sarai
שרה sarah
จากอักษรฮีบรูข้างบน ถ้าเราสังเกตุดีๆ จะเห็นว่า ในชื่อใหม่ของอับราม และซาราย จะมีตัวอักษรฮีบรู ที่เหมือนกันอยู่ตัวหนึ่ง ที่ผมใส่เป็นสีฟ้าเข้มเอาไว้ คำนี้ เป็นอักษรตัวที่ "5" ในภาษาฮีบรู อ่านออกเสียงว่า "เฮ (He)" นักศาสนาศาสตร์ ให้ความหมายไว้ 3 อย่าง ว่าทำไมพระเจ้าถึงใส่คำว่า "เฮ" เข้าไปในชื่ออับราฮัม และซาราห์
เหตุผลแรก ก็คือ เลข "5" เป็นสัญลักษณ์เล็งถึง "พระคุณของพระเจ้า" เครื่องถวายบูชาในเลวีนิติ มี 5 ประเภทหลัก (ลนต 1-7) ตอนดาวิดลงไปต่อสู้กับโกลิอัท ดาวิดเอาหินไป 5 ก้อน (1ซมอ 17:40) เคยสังเกตุไหมครับว่า ทำไมพระเจ้าต้องบันทึกรายละเอียดถึงขนาดว่า ดาวิดเอาหินไปกี่ก้อน เหตุผลก็เพราะพระเจ้าต้องการจะสื่อสารกับเราว่า ดาวิดลงไปเผชิญหน้ากับยักษ์ที่ทุกคนหวาดกล้ว ด้วยพระคุณพระเจ้า เมื่อพระคุณพระเจ้าดำรงอยู่กับเราแล้ว ไม่มีอะไรที่เราต้องกลัว ยักษ์ตรงหน้าเราจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม ก็จะล้มลงอยู่แทบเท้าเรา เหมือนดังเช่น โกลิอัทที่ล้มลงแทบเท้าดาวิด พระเยซูใช้ขนมปัง "5" ก้อนในการเลี้ยงคนห้าพันคน ฯลฯ
เหตุผลที่สอง ก็คือ คำว่า "เฮ" คือเสียงระบายลมปราน ในปฐมกาลตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์จากดิน ดินนั้นไม่มีชีวิตจนกระทั่งพระเจ้าระบายลมปรานของพระองค์เข้าไปในมนุษย์ (ปฐก 2:7) ภาพสัญลักษณ์ตรงนี้ ก็คือ พระเจ้าทรงระบายลมปรานแห่งชีวิตลงบนอับราฮัม และซาราห์ ทั้งสองคนได้รับการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง จนทั้งสองสามารถมีลูกได้ในวัยชรา
เหตุผลที่สาม ก็คือ คำว่า "เฮ" เป็นพระนามของพระเจ้า คำว่า ยาเวห์ (Yahweh) ในภาษาฮีบรู มีอักษรทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน อ่านออกเสียงว่า Yud He Vav He (ยุด เฮ วา เฮ) ถ้าเราสังเกตุให้ดี เราจะพบว่า ในพระนามของพระเจ้า มีคำว่า "เฮ" ซ้ำกัน 2 ตัว
יהוה Yahweh
คำว่า "เฮ" จึงเป็นเหมือน คำย่อ (initial) เล็งถึงพระนามพระเจ้า การใส่พระนามพระเจ้าเข้าไปในชื่อของอับราฮัม และซาราห์ ยังมีความหมายถึง การที่พระเจ้าสถิตอยู่ในชีวิตของทั้งสอง ถ้าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ทั้งสองจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเกิดผล การทรงสถิตของพระเจ้านำมาซึ่งการเกิดผล
(คอยติดตาม Typologies ตอนที่ 2 ได้ใน Blog ผมนะครับ เราจะไปเจาะเรื่องภาพสัญลักษณ์ในพระคัมภีร์กัน)
กลับมาที่การสำแดงพระนามของพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่กัน
น่าจะมี 3 พระนามใหญ่ๆ ที่พระเจ้าได้สำแดงแก่พวกเราภายใต้พันธสัญญาใหม่ วันนี้ เราจะมาดูแกะรอยพระนามแรกกัน ให้เราไปเริ่มกันเลยที่พระคัมภีร์ มัทธิวบทที่ 1
มธ 1:22-23 22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งตรัสไว้โดยศาสดาพยากรณ์ว่า 23 `ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล ซึ่งแปลว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเรา'
พระนามแรกๆ เลยที่พระเจ้าสำแดงกับเราภายใต้พันธสัญญาใหม่ก็คือ "อิมมานูเอล"
อิมมานูเอล มีความหมายว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเรา ช่างเป็นพระนามที่ฟังแล้วอบอุ่นจัง
พวกเราลองคิดดูนะครับ ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าได้สำแดงพระองค์ด้วยหลากหลายพระนาม พระนามส่วนใหญ่ แสดงให้เราเห็นถึงความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของพระองค์ ในพระนามเหล่านั้น เราเห็นถึงช่องว่าง ระหว่างเรากับพระเจ้า
พระเจ้ายิ่งใหญ่ บริสุทธิ์ และชอบธรรม ในขณะที่พวกเราเป็นคนบาป คนในพันธสัญญาเดิม ถึงได้เกรงกลัวพระเจ้า เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ พวกเขาถึงไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ จะเข้าได้เฉพาะคนที่พระเจ้าอนุญาติ แม้คนที่พระเจ้าอนุญาติ ก็มีกฏที่พวกเขาพึงปฏิบัติ มิเช่นนั้น พวกเขาจะตาย คำว่า "มิเช่นนั้น เจ้าจะตาย" ได้ปรากฏอยู่บ่อยคร้้ง ในพระคัมภีร์เดิม
การมาของพระเยซู ได้ประสานรอยแยก ระหว่างเรากับพระเจ้า โดยพระองค์เท่านั้น พวกเราผู้เชื่อทุกคน ถึงสามารถเข้าหาพระเจ้าได้อย่างเสรีในวันนี้ "พระเจ้าอยู่กับเรา"
พระเจ้าประทับอยู่ภายในเราผู้เชื่อทุกคนผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยน 14:16-17 16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป 17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและจะประทับอยู่ในท่าน
ถ้าเรามาใคร่ครวญ (meditate) สิ่งที่พระเยซูพูดในข้อ 16 ร่วมกัน พระเยซูเองเป็นคนพูดประโยคนี้ พระเยซูกำลังกล่าวถึงการมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อ 16 พระเยซูบอกกับเราว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์จะอยู่กับเราตลอดไป"
John 14:16 "And I will pray the Father, and He will give you another Helper, that He may abide with you forever-- (NKJ)
ในฉบับแปล New King James มี 2 คำที่น่าสนใจ คือคำว่า "abide" กับคำว่า "forever"
abide คือการเข้าเป็นส่วนหนึ่ง forever คงไม่ต้องแปลแล้ว forever คือตลอดไป
มีบางคำสอนที่สอนว่า พระวิญญาณจะเข้าๆ ออก ในชีวิตของผู้เชื่อ ผู้เชื่อล้มลงในบาป พระวิญญาณฯ ก็จะจากไป พอผู้เชื่อสารภาพกลับใจ พระวิญญาณฯ ก็กลับมาใหม่ คำสอนนี้ จะใช้พื้นฐานมาจากพันธสัญญาเดิม โดยอ้างอิงถึงบทเพลงสดุดีของกษัตริย์ดาวิด
การเชื่อคำสอนนี้ จะทำให้มีปัญหากับสิ่งที่พระเยซูพูดในตอนนี้ การเข้าๆออกๆ ของพระวิญญาณฯ จะไปเรียกว่า "abide with you forever" ได้อย่างไร? ความหมายตรงตัว
กลับมาที่เรื่องของกษัตริย์ดาวิดกันนิดนึง เหมือนที่ผมได้อธิบายไว้ใน บทความ Typologies ตอนที่ 1 เข้าใจพันธสัญญาทั้งสอง กษัตริย์ดาวิด อยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม
คำว่า พันธสัญญาเดิมที่ผมกำลังพูดถึงตรงนี้ มี 2 ความหมายหลักๆ ความหมายแรก หัวใจหลักของพันธสัญญาเดิมแห่งธรรมบัญญัติก็คือ ทำดีได้รับการอวยพร ทำชั่วโดนลงโทษ ความหมายที่สอง คนในพระคัมภีร์เดิม ไม่ใช่ทุกคนได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะมีแค่บางคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็คือ ปุโรหิต, กษัตริย์ และผู้เผยพระวจนะ การได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของคนในพันธสัญญาเดิมก็ต่างกับพวกเราคนในพันธสัญญาใหม่อย่างสิ้นเชิง
กล่าวคือ ภายใต้พันธสัญญาเดิม เวลาที่พระวิญญาณฯ ลงมาบนคน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระวิญญาณฯ อยู่ "บน" เขา ไม่ใช่อยู่ "ใน" เขาเหมือนที่พระองค์ทรงประทับอยู่ในพวกเราผู้เชื่อในวันนี้ ในยุคพันธสัญญาเดิม พระวิญญาณฯ แค่ลงมา "บน" เขา แต่ไม่ได้ "abide" เข้าสนิทอยู่ในเขา พระวิญญาณฯ มีการจากไปจริง ในยุคพันธสัญญาเดิม แต่ไม่ปรากฏในยุคพันธสัญญาใหม่ว่า หลังจากที่พระวิญญาณฯ ได้เข้า abide ในผู้เชื่อแล้ว พระองค์เข้าๆ ออกๆ เหมือนในยุคพันธสัญญาเดิม
การเข้าๆออกๆ จะเรียกว่า abide with you forever ได้อย่างไร? คำว่า abide ให้ความหมายถึง การเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
ไม้กางเขนของพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไปตลอดกาล ผมขอพระเจ้า ให้ผมได้เข้าใจ งานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูมากขึ้นทุกวัน ไว้มีโอกาส ผมอยากจะเขียนถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้เปลียนแปลง หลังจากที่พระเยซูได้ฟื้นคืนพระชนม์
"พระเยซูเจ้าข้า งานของพระองค์ช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ"
พระนาม "อิมมานูเอล" เป็นพระนามแรกๆ ที่พระเจ้าทรงสำแดงกับเราผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่แห่งพระคุณพระเจ้า การรู้ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพ่อของเรา และพระองค์ทรงอยู่กับเรา อยู่กับเราตลอดเวลา
ตอนที่แล้ว เราเห็นว่า เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟ โยเซฟกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตของโยเซฟ เริ่มจากศูนย์ (บ่มิไกด์ - ภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า ไม่มีอะไรเลย) กลายเป็นติดลบ (ติดคุก) สถานการณ์ของโยเซฟจากแย่กลายเป็นจบกัน จากไม่มี กลายเป็นติดลบ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า
ถ้าพวกเราเคยสังเกตุ อัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เรื่องขนมปังเลี้ยงฝูงชนไหมครับ เหตุการณ์นี้จะมีอยู่ 2 ตอน
มธ 15:32-39 เลี้ยงคนสี่พันคน
มธ 14:13-21 เลี้ยงคนห้าพันคน
ถ้าเราสังเกตุดีๆ ตอนพระองค์เลี้ยงคน 4 พัน พระองค์ใช้ขนมปัง 7 ก้อน ในขณะที่ตอนพระองค์เลี้ยงคน 5 พันคน มากขึ้นอีกพันคน พระองค์ใช้ขนมปังน้อยลง แค่ 5 ก้อน (จริงๆ แล้ว จำนวนคนจะมากขึ้นกว่านี้อีกเยอะ เพราะตัวเลข 4 หรือ 5 พันคน ไม่ได้นับผู้หญิงและเด็ก)
อีกทีนะ ลองคิดตามนะครับ
เลี้ยงคน 4 พัน ใช้ขนมปัง 7 ก้อน
เลี้ยงคน 5 พัน ใช้ขนมปัง 5 ก้อน
พระเจ้าเคยตรัสกับผม ผ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า อุปสรรคปัญหายิ่งดูยากเท่าไหร่ ยิ่งง่ายสำหรับพระเจ้า เราเองเป็นมนุษย์ ด้วยความจำกัดของเรา หัวเราจะบอกกับเราว่า อะไรยาก อะไรง่าย แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย ไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระเจ้า
คริสเตียนเชื่อพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่พระเจ้าของพวกเขา กลับมีฤทธิ์อำนาจต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เหตุผลก็คือ แท้จริงแล้วพระเจ้านอกจากยิ่งใหญ่แล้ว พระองค์ยังรักพวกเราทุกคน รักขนาดไหน? รักขนาดที่ชีวิตของพระองค์ พระองค์ให้กับเรา มีคำกล่าวที่พวกเรา คงเคยได้ยินบ่อยแล้ว แต่ถ้าเราลองคิดใคร่ครวญ คำพูดนี้อีกครั้ง เราจะพบว่า มันลึกซึ้งจริงๆ "ไม่ใช่ตะปูที่ตรึงพระเยซูไว้ที่ไม้กางเขน แต่เป็นความรักที่พระองค์มีต่อเราต่างหาก ที่ตรึงพระองค์ไว้ที่กลโกธา"
เชื่อมั่นในความรักของพระเจ้า สิ่งดีดีเกิดขึ้นอย่างเป็นปรกติเสมอๆ ในคนที่เชื่อว่าพระเจ้ารักเขาและเธอ
ไม่ว่าฝ่ายกายภาพ ชีวิตเราจะดูเหมือนจะตกต่ำ แค่ไหนก็ตาม ขอแต่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์สามารถหมุนกลับ (turn around) สถานการณ์เลวร้ายทุกอย่างที่เรากำลังเผชิญ ให้งดงาม
สำหรับคนยิวแล้ว คำว่า "พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย" มีความหมาย ถึงความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่เราทำ อะไรที่เราจับต้อง ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จ ถ้าเราดูจากประวัติศาสตร์ของคนอิสราเอล เมื่อไหร่ที่พระเจ้าสำแดงการทรงสถิตของพระองค์ ไม่มีสมรภูมิไหน ที่พวกเขา จะพ่ายแพ้ ไม่มีศัตรูหน้าไหน จะล้มพวกเขาได้
สมรภูมิเยรีโค พวกเขายึดเมืองได้ เพียงแค่โห่ร้อง (ยชว 6:20) พวกเขาทำได้อย่างไร? คำตอบก็คือ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเขา แม้ว่าในสงคราม ที่ศัตรูมีมากกว่าพวกเขา อย่างไม่ต้องเปรียบเทียบ พวกเขาก็ชนะ เหตุผลมีเพียงข้อเดียวว่า เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเขา
มาวันนี้ พวกเราผู้เชื่อภายใต้พันธสัญญาใหม่ ไม่ได้ต่างกับคนยิวในยุคนั้น พระเยซูทรงสถิตอยู่กับพวกเรา มีความหมายว่า พระองค์จะช่วยเรา จะสนับสนุนเรา และจะเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างในชีวิตเรา ให้เป็นผลดีกับเรา
เวลาที่สถานการณ์ทุกอย่างดูไม่เป็นใจ ท้องฟ้าดูมืดครึ้ม เวลานั้นแหละ จะเป็นเวลาที่บอกกับเรา ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราเชื่อมั่นในพระเจ้าแค่ไหน? ไม่ว่าเราจะเชื่อมั่นมากหรือน้อย ความจริงหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย คือพระเจ้าสามารถ พระองค์รักเรา และพระองค์จะช่วยเรา
Rom 8:28 And we know that all things work together for good to those who love God, to those who are the called according to His purpose. (NKJ)
ผมชอบข้อพระคัมภีร์ข้อนี้มาก ผมใส่ข้อนี้ ไว้ที่ lock screen ของโทรศัพท์ ทุกครั้งที่ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ จะปรากฏออกมา นี่คือพระสัญญาของพระเจ้า นี่คือความจริง นี่คือสัจธรรม ที่พระเจ้าสัญญากับเราผู้เชื่อว่า ทุกสิ่ง (all things) ไม่ว่าในวันนี้มันจะดูดี หรือไม่ดีก็ตาม จะ work together for our good จะรวมตัวกัน กลายเป็นผลดีแก่ชีวิตของเราในที่สุด
อย่าให้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญ ขโมย scene ของพระเจ้า ปัญหาของเรา ไม่ได้ใหญ่กว่าพระเจ้า พระเจ้าต่างหากที่ใหญ่กว่าปัญหาของเรา
ให้ตาเรามองไปที่พระเจ้า ไม่ใช่ที่สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ เปโตรเดินบนน้ำได้ เพราะตาเขามองไปที่พระเยซู สิ่งเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อตาของเรา จับจ้องไปที่พระเยซู ตราบที่ตาเราจับจ้องไปที่พระเยซู เราถึงจะเดินบนทะเล เหนืออุปสรรคคลื่นลม และพายุแห่งปัญหา
เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสถิตอยู่กับเรา สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นภายในเรา รอบตัวเรา และผ่านเรา ให้เราคาดหวังสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพราะว่าพระเจ้าอิมมานูเอล ทรงสถิตอยู่กับเราแล้วในวันนี้
ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงสถิตย์อยู่กับเรา
ตอบลบ