และแล้วเราเดินทางกันมาถึงบทรองสุดท้ายของบทความ 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร ในซีรีย์ 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร จะมีทั้งหมด 5 ภาค 7 ตอน ตอนนี้เราอยู่กันตอนที่ 6 แล้ว ถ้าจะเปรียบ กับการเดินทางของคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร พวกเราก็มาถึงคาเดชบารเนีย (Kadesh Barnea) ประชิดชายแดน เตรียมเข้าสู่คานาอันเต็มแก่ พี่น้องพร้อมกันหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว เราลุยกันเลย!!
บทความ 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร ภาค 4 แผ่นดินพระสัญญา แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ตอน
ตอนที่ 1 แผ่นดินพระสัญญาคืออะไร? - ในบทนี้ เราได้เรียนรู้ว่า เรื่องของแผ่นดินพระสัญญา เป็นหัวข้อที่สร้างความสับสน และพันธนาการ ให้กับผู้เชื่อพอสมควร เนื่องจากมีคำสอนที่สอนว่า แผ่นดินพระสัญญา เล็งถึงความรอด การแปลความแบบนี้ ที่สุดจะต่อยอด กลายเป็นคำสอน เรื่องการสูญเสียความรอดไปในที่สุด เนื่องจากมีคนที่ได้เข้าคานาอัน และมีคนที่ไม่ได้เข้าคานาอัน เมื่อเราให้พระคัมภีร์แปลพระคัมภีร์เอง ในพระคัมภีร์ฮีบรู บทที่ 3-4 พระเจ้าได้ตีความหมาย ของภาพสัญลักษณ์แผ่นดินพระสัญญาให้เรารู้ว่า แผ่นดินพระสัญญา ไม่ได้เล็งถึงความรอด แต่เล็งถึง "การพักสงบในพระเจ้า" (ถ้าพี่น้องยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 ลองกลับไปอ่านดูนะครับ เพื่อพี่น้องจะได้เข้าใจที่มาที่ไปของบทความนี้)
ต่อเนื่องมาถึงตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนที่แล้ว เราได้ศึกษาถึงภาพสัญลักษณ์ 2 ภาพด้วยกัน คือภาพสัญลักษณ์ของอียิปต์ และ คานาอัน ภาพสัญลักษณ์สองภาพนี้ เป็นภาพเล็งถึงชีวิตคริสเตียน 2 รูปแบบ อียิปต์ เล็งถึงชีวิตที่เหนื่อยยาก ตรากตรำ ใช้กำลังตัวเอง ในขณะที่คานาอัน เป็นภาพสัญลักษณ์ของชีวิตแห่งความสมบูรณ์ ที่ได้มาจากการจัดสรร จัดเตรียมให้เสร็จ ไม่ต้องเหนื่อยยาก
วันนี้เราจะมาต่อกันตอนที่ 3 "เข้าสู่การพำนัก (Enter My Rest)" ซึ่งเป็นตอนจบ ของภาค 4 แผ่นดินพระสัญญา
ชัดเจนว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ให้เราผู้เชื่อออกจากอียิปต์ และเข้าสู่คานาอัน
เรากลับมาดูกันที่ คำจำกัดความของคานาอันสักนิดนะครับ (อพย 3:8, ฉธบ 6:10-11)
- เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
- ได้ครอบครองหัวเมืองใหญ่โตและดี ที่เราไม่ได้สร้าง
- ได้เรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งเรามิได้สะสม
- ได้ดื่มน้ำจากบ่อ ที่เรามิได้ขุด
- ได้ทานผลองุ่นและมะกอกเทศ ที่เรามิได้ปลูก และได้ทานอย่างอิ่มหนำ
จากคำจำกัดความทั้ง 5 อย่าง คานาอัน เป็นภาพสัญลักษณ์ของงานที่สำเร็จแล้ว เป็นภาพของการได้ดื่มด่ำพระพรที่เป็นงานของคนอื่น
และนี่คือสิ่งที่พระเจ้า ได้จัดเตรียมให้กับคนอิสราเอล และพวกเราผู้เชื่อในวันนี้
พระเจ้าเรียกการที่คนอิสราเอลไม่ได้เข้าคานาอันว่า "เขาไม่ได้เข้าสู่การพำนักซึ่งเราจัดให้" ในภาษาอังกฤษ NKJ จะใช้คำว่า "They shall not enter My rest."
ฮบ 3:11 ตามที่เราปฏิญาณด้วยความพิโรธว่า "เขาจะไม่ได้เข้าสู่การพำนักซึ่งเราจัดให้"
Heb 3:11 So I swore in My wrath, 'They shall not enter My rest.' (NKJ)
คานาอัน ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้เราไปครอบครอง คือ ชีวิตที่ดำเนินอยู่ภายใต้การพักสงบในพระเจ้า จริงๆ แล้วในภาษาอังกฤษ จะแปลความหมายได้ดีกว่าในภาษาไทย พระคัมภีร์ภาษาไทย จะแปลว่า "การพำนักซึ่งเราจัดให้" ในขณะที่พระคัมภีร์ฉบับ NKJ จะใช้คำว่า "Enter My Rest" ไม่ใช่ "the rest that I prepared"
เป็นอะไรที่ลึกซึ้งจริงๆ การพักสงบ ที่พระเจ้าเตรียมให้กับเรา เป็นการพักสงบแบบเดียว กับที่พระเจ้าพัก "My Rest" หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างโลกเสร็จในวันที่เจ็ด
ปฐก 2:2 วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ
Gen 2:2 And on the seventh day God ended His work which He had done, and He rested on the seventh day from all His work which He had done. (NKJ)
พระเจ้าเรียกการเข้าสู่คานาอันว่า "การเข้าสู่ การพักแบบที่พระเจ้าทรงพัก (Enter My Rest)" ไม่ใช่การเข้าสู่การพัก ที่พระเจ้าจัดให้ อย่างที่พระคัมภีร์ภาษาไทยได้แปลเอาไว้
ตอนที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่บนโลก เราไม่เคยเห็นพระเยซูเร่งรีบ รีบร้อน ลุกลี้ลุกลน พระองค์ดูจะมีเวลาให้กับทุกสิ่ง ทั้งที่ตารางเวลาของพระองค์แน่นเอียด จากเช้ามืด ยันค่ำมืดดึกดื่น พระองค์ใช้เวลา ไม่เกิน 3 ปีครึ่ง ทำภารกิจที่พระบิดามอบหมายสำเร็จลุล่วงทุกประการ
พี่น้องจำตอนที่พระเยซูทรงบรรทมหลับในเรือได้ไหมครับ?
เราต้องไม่ลืมว่า สาวกหลายคน เป็นชาวประมงโดยอาชีพ นั่นหมายความว่า คลื่นลมมรสุม ไม่ใช่เรื่องที่แปลกสำหรับอาชีพชาวประมง แต่ในค่ำคืนวันนั้น คลื่นลมรุนแรง และน่าสะพึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ทุกคนบนเรือต่างหวาดผวากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พระเยซูทรงสงบนิ่ง พระคัมภีร์บันทึกว่า พระองค์ทรงหลับ พระองค์ทรงพัก พระองค์สามารถพัก สามารถสงบได้ แม้ภายใต้สถานการณ์ที่น่าสะพึงกลัว
การพักสงบแบบพระเจ้า (My Rest) นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้า ได้จัดเตรียมให้กับพวกเรา พี่น้องที่รัก วันนี้พระเจ้าอยากให้เราดำเนินชีวิตแต่ละวัน ในคานาอัน "พักสงบ" ในพระเจ้า "ไว้วางใจในพระองค์" ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราในวันนี้ ไม่ว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาอะไรก็แล้วแต่ แม้สิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมัน จะดูน่าสะพึงกลัวแค่ไหนก็ตาม แม้หนทางจะมืดมิดทั้งแปด เก้า หรือจะสิบด้าน คลื่นลมจะรุนแรง ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง หรือนภาจะไร้ดาราก็ตาม
สิ่งเดียวที่พระเจ้าอยากให้เราทำ ก็คือ "อย่าให้ใจของเราเป็นทุกข์" ส่วนของเรา คือ "ดูแลสิ่งที่อยู่ข้างใน ซึ่งก็คือ หัวใจของเรา ไม่ให้เป็นทุกข์ แต่ไว้วางใจในพระเจ้า" ส่วนของพระเจ้า คือ "ดูแลสิ่งที่อยู่ข้างนอก take care อุปสรรคปัญหาของเรา"
เมื่อใจเราไม่เป็นทุกข์ ไว้วางใจในพระเจ้า พระเจ้าจะหยุดคลื่นลมที่แปรปรวน อย่างบ้าคลั่งให้กับเรา เหมือนที่พระเยซูได้หยุดพายุในค่ำคืนวันนั้น ฉันใดฉันนั้น ไม่มีอะไรที่ยากสำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นได้ สำหรับพระเจ้า (มก 10:27) พี่น้องเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่าครับ? ถ้าพี่น้องเชื่อ พี่น้องจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างแน่นอน (ยน 11:40)
กลับมาที่พระธรรมฮีบรูบทที่ 4 ข้อ 1-13 พระเจ้าได้อธิบายเพิ่มเติม ถึงการพักสงบในพระเจ้า ใน 13 ข้อแรกของบทที่ 4 มีข้อพระคัมภีร์ที่น่าสนใจอยู่ สามข้อ คือในข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 11
ฮบ 4:1 เหตุฉะนั้นเมื่อพระสัญญายังมีอยู่ว่า จะให้เราเข้าสู่การพำนักซึ่งพระองค์ทรงประทาน ก็ให้เราทั้งหลายระมัดระวังอยู่เสมอ มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง
Heb 4:1 Let us therefore fear, lest, a promise being left us of entering into his rest, any of you should seem to come short of it. (KJV)
ในข้อ 1 พระเจ้าบอกให้เรา "ระมัดระวัง" อยู่เสมอ มิเช่นนั้นจะมีบางคนไปไม่ถึง ในบริบท คำว่า "ไปไม่ถึง" เล็งถึง "การไม่ได้พักสงบ" เพราะแผ่นดินพระสัญญา คือภาพสัญลักษณ์ของการพักสงบในพระเจ้า คำว่า "ระมัดระวัง" คือคำว่า "Phobeo" ในภาษากรีก แปลว่า "กลัว (fear)" อย่างที่พระคัมภีร์ KJV ได้แปลเอาไว้ ถ้าจะแปลพระคัมภีร์ข้อนี้ให้ตรงความหมายในภาษากรีก น่าจะแปลว่า "ให้เราทั้งหลายกลัวอยู่เสมอ มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง"
พี่น้องที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ พระคัมภีร์ จะรู้ว่า ประโยคนี้ของพระเจ้าไม่ปรกติ ตลอดเล่มพระคัมภีร์ พระเจ้ามีแต่จะบอกให้คนของพระองค์ "อย่ากลัว" "จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด" แต่ไหงมาถึงตรงนี้ พระองค์กลับบอกให้เรา "กลัว" สิ่งเดียวภายใต้พันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าอยากให้เรา "กลัว" ก็คือ กลัวไม่ได้พักสงบในพระองค์
เราข้ามข้อ 3 ไปดูข้อ 11 กันก่อน เป็นประโยคที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะขัดแย้งในตัวเอง พระองค์บอกให้เรา "พยายามที่จะเข้าสู่การพักสงบ"
ฮบ 4:11 เหตุฉะนั้น ขอให้เราทั้งหลายพยายามที่จะได้เข้าสู่การพำนักนั้น เพื่อจะได้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหลงไปเหมือนคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น
Heb 4:11 Let us, therefore, make every effort to enter that rest, so that no-one will fall by following their example of disobedience. (NIV)
ฮบ 4:11 เหตุฉะนั้น ขอให้เราทั้งหลายพยายามที่จะได้เข้าสู่การพำนักนั้น เพื่อจะได้ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหลงไปเหมือนคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น
Heb 4:11 Let us, therefore, make every effort to enter that rest, so that no-one will fall by following their example of disobedience. (NIV)
ประโยคนี้ของพระเจ้า เป็นอะไรที่ลึกซึ้งมากๆ ผมก็กำลังเรียนรู้ และขอให้พระเจ้าสำแดงกับผมมากขึ้นทุกๆ วัน สิ่งที่พระเจ้าให้เราพยายาม ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "make EVERY effort" ก็คือ การเข้าสู่การพักสงบในพระเจ้า สิ่งนี้ดูจะไม่ค่อย make sense สำหรับพี่น้องคริสเตียนหลายๆ คน เวลาที่เราเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหา แทนที่พระเจ้า จะบอกให้เราพยายามเต็มที่ make every effort ที่จะแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมัน ทำส่วนของเราให้เต็มร้อย หรือเกินร้อย พระเจ้าไม่ได้บอกแบบนั้น สิ่งที่พระเจ้าบอกกับเรา คือให้เราพยายามทุกทางที่จะ "พักสงบ" ในพระองค์
พระเจ้าทรงพูดแบบนี้ มันต้องมีอะไรแน่ๆ จากนี้ไป เมื่อไหร่ ที่พี่น้องต้องเผชิญหน้า กับสิ่งที่ท้าทาย สิ่งที่น่าสะพึงกลัว สิ่งที่กดดัน สิ่งที่เกินกำลังความสามารถ สิ่งที่พี่น้องไม่สามารถจะควบคุมอะได้เลย ให้พี่น้องลองทำ แบบที่พระเจ้าบอกกับเราซิครับ "make every effort to enter that rest" แล้วดูซิว่า อะไรจะเกิดขึ้น!!!
การพักสงบตรงนี้ ดูจากบริบทของคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารแล้ว มิได้หมายความว่า พวกเขาไม่ต้องทำอะไร พวกเขาต้องเดินหน้าสู่คานาอัน พวกเขาต้องรบกับคนพื้นเมือง และมนุษย์ยักษ์ ความหมายของคำว่า Rest คือการวางใจในพระเจ้า ฝาก และวางความหวังไว้ในพระเจ้า ไม่ใช่ในสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เพราะเราทำมากหรือน้อย ทำให้เราสำเร็จ พระเจ้าต่างหาก คือความสำเร็จของเรา เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระองค์ เราจะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้า เคลื่อนไหว ในวันที่เหล้าองุ่นเราหมด พระองค์จะเปลี่ยนน้ำ ให้กลายเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี เหล้าองุ่นที่พระองค์ทรงเปลี่ยนให้กับเรา คุณภาพดีกว่าเหล้าองุ่นชั้นดีที่เราจัดหามา (ยน 2:10) เพราะนี่เป็นสไตล์ของพระองค์ พระองค์ทำสิ่งที่เป็น First Class เสมอ
พระเจ้าสามารถใช้สิ่งที่ดูเล็กน้อย ให้กลายเป็นจุดเปลี่ยน (Turning Point) ของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อปุโรหิตเจ็ดคน เป่าเขาแกะ (Ram's Horn) กำแพงเมืองเยรีโคที่แข็งแกร่งตั้งเด่นเป็นสง่าก็พังทลายลงอย่างง่ายดาย
Rest in Work not Rest from Work
แม้ว่าพระคัมภีร์ได้บันทึก ถึงพระพรนานับประการ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับผู้เชื่อ แต่ก็ใช่ว่า ผู้เชื่อทุกคนจะได้รับ ตัวแปรหลัก หรือสาเหตุที่ทำให้ผู้เชื่อต้องเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดารตลอดชีวิตคริสเตียนของพวกเขา โดยไม่ได้เข้าสู่คานาอัน ก็คือ พวกเขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อในความดี และความรักที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา และไม่เชื่อว่า งานได้สำเร็จแล้ว
ฮบ 3:19 ฉะนั้นเราจึงรู้ว่า เขาไม่สามารถเข้าไปสู่การพำนักนั้นได้ก็เพราะเขาไม่ได้เชื่อ
พี่น้องเชื่อไหมครับว่า งานของพระเจ้า ได้สำเร็จแล้ว พระพรที่พระเจ้าได้เตรียมให้กับเรา ก็พร้อมแล้วเช่นเดียวกัน แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ อยู่ตรงหน้าเราแล้ว หัวเมืองใหญ่โตและดี ที่เราไม่ได้สร้าง กำลังรอให้เรา เข้าไปครอบครอง เรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งเรามิได้สะสม ก็รอคอยให้เราเข้าไปเอาของดีเหล่านั้นออกมาใช้ เพื่อจะได้เป็นพระพรสำหรับตัวเรา และสำหรับการดีทุกอย่างด้วย บ่อน้ำ ที่เรามิได้ขุด กำลังรอให้เราเข้าไปดื่ม เช่นเดียวกันผลองุ่น มะกอกเทศ และทับทิม ที่เรามิได้ปลูก ก็กำลังรอให้เราเข้าไปรับประทาน เพราะสิ่งเหล่านี้ คือพระพร และคำสัญญาที่พระเจ้า สัญญาจะประทานให้กับเราผู้เชื่อ
กุญแจ ที่จะเปิดเอาสิ่งเหล่านั้นออกมา ก็คือ ความเชื่อในความดี และความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา เมื่อไหร่ ที่เรามาถึงจุดตระหนัก ว่าพระเจ้ารักเรามากแค่ไหน เมื่อนั้น เราจะค้นพบว่า พระพรในชีวิตคริสเตียนนั้นได้มาอย่างง่ายๆ effortlessly โดยไม่ต้องกระเสือกกระสน และตะเกียกตะกาย เพราะพระพรของพระเจ้า มาโดยพระคุณของพระองค์ ที่สำคัญที่สุด พระเจ้ารักเรา และปรารถนาจะประทานสิ่งดีที่สุดแก่เรา
พระเจ้าไม่เคยบอก ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราจะดีหมด แต่พระเจ้าบอกกับเราว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดี หรือจะดูเหมือนเลวร้ายก็ตาม ที่สุดทุกสิ่งเหล่านั้นทั้งดีและไม่ดี จะหลอมรวมกันกลายเป็นสิ่งดีแก่ชีวิตของเราในที่สุด
Rom 8:28 And we know that all things work together for good to those who love God, to those who are the called according to His purpose. (NKJ)
ทีนี้เรากลับมาที่ข้อ 3 ของพระธรรมฮีบรูบทที่ 4 สิ่งที่พระเจ้ากล่าวในข้อนี้ เป็นอะไรที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เราคงไม่สามารถเข้าใจมัน ได้ด้วยสมองที่จำกัดของเรา เนื่องจากเราถูกจำกัดด้วยเวลา และสถานที่ ไม่เหมือนอย่างพระเจ้า พระเจ้าอยู่นอกเหนือกาลเวลา พระองค์ทรงดำรงอยู่นิรันดรกาล ถึงนิรันดรกาล แต่เราสามารถรับมันได้ด้วยหัวใจ และเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าพูด
ฮบ 4:3 สำหรับเราผู้มีความเชื่อแล้วจะได้เข้าสู่การพำนัก คือการพำนักที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า "ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความพิโรธว่า 'เขาจะไม่ได้เข้าสู่การพำนักซึ่งเราจัดให้" แม้ว่างานของพระองค์จะได้สำเร็จแล้วตั้งแต่สร้างโลก
Heb 4:3 For we who have believed do enter that rest, as He has said: "So I swore in My wrath, they shall not enter My rest," although the works were finished from the foundation of the world. (NKJ)
คนอิสราเอลไม่เชื่อว่างานสำเร็จแล้ว พวกเขาไม่เชื่อในความดี และความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา พวกเขาจึงพลาด ตัวเลข 40 ปีที่พวกเขาเดินในถิ่นทุรกันดาร ในบริบท เป็นสัญลักษณ์เล็งถึง หนึ่งชั่วอายุคน ตลอดชั่วชีวิตผู้เชื่อของพวกเขา พวกเขาต้องเดินวกไปวนมาในถิ่นทุรกันดาร พลาดพระพรที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเขา ไม่ได้ครอบครองหัวเมืองที่ใหญ่และดี ไม่ได้ดื่มด่ำกับพระพร ที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้ในเรือนให้กับพวกเขา และไม่ได้กินผลไม้แสนอร่อย ที่พระเจ้าเตรียมให้กับพวกเขา
ถ้าเราอ่านฮีบรู บทที่ 4 ข้อ 3 ดี ๆ เราจะพบว่า จริงๆ แล้ว งานต่างๆ สำเร็จหมดแล้ว สำเร็จตั้งแต่พระองค์ทรงวางรากสร้างโลก ถ้าจะว่าไปแล้ว งานทรงไถ่ของพระเจ้า สำเร็จเสร็จสิ้น ตั้งแต่ก่อนมนุษย์ล้มลงในบาปแล้ว - อย่าลืมว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงอยู่เหนือกาลและเวลา พระองค์ทรงอยู่ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปพร้อม ๆ กัน ในเวลาเดียวกัน
พระพรที่เราต้องการ ที่เราขอพระเจ้า ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ได้สำเร็จและถูกเตรียมไว้ให้กับเราอย่างพร้อมสรรพแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระเจ้าวางรากสร้างโลก พี่น้องที่รัก พระเจ้าของเรา ทรงคุมเกมส์อยู่ ไม่มีอะไรที่จะทำให้พระองค์ทรงตกพระทัย - Everything is under His control. Nothing catches Him by surprise.
ส่วนของเราคือ เชื่อ เชื่อและวางใจในพระคุณ ความรัก และความดีของพระองค์ เมื่อเราเชื่อมั่นว่า พระเจ้ารักเรา และพระองค์จะทรงประทานสิ่งดีให้กับเราอย่างแน่นอน เมื่อนั้น เราจะเข้าสู่การพักสงบของพระเจ้า (Enter My Rest) และเมื่อนั้น เราจะได้เข้าสู่แผ่นดินพระสัญญา เหมือนดังที่โยชูวา และคาเลบได้เข้า
ตั้งแต่ในสวนเอเดน พระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อน พระองค์จึงค่อยสร้างอาดัม และพระองค์ทรงวางอาดัมไว้ในสวน ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ว่ากันตรงไปตรงมา อาดัมอยู่ในสวน เพื่อจะได้ดื่มด่ำ และ enjoy ในพระพรที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเขา - เช่นเดียวกันกับพวกเราวันนี้ พระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว
คนอิสราเอลพลาด เพราะเขาไม่เชื่อ ผลของการไม่เชื่อก็คือ คำบ่น การบ่น การตัดพ้อ ต่อว่าสิ่งต่าง ๆ ทำให้พวกเขา ไม่สามารถเข้าสู่การพักสงบในพระเจ้า ให้วันนี้ไป เราเปลี่ยนเสียงบ่น และคำพูดแง่ร้าย แง่ลบ เป็นคำสรรเสริญ และคำขอบคุณ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัด ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเราสำเร็จครบถ้วนหมดแล้ว ตั้งแต่พระองค์ทรงวางรากสร้างโลก ให้คำพูดประโยคแรกในทุกๆ วันของเรา คือคำขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่พระเจ้ารักเรา ขอบคุณที่พระองค์ทรงดูแลเราอย่างดี ขอบคุณที่ในแต่ละวัน พระเจ้ามีพระคุณอย่างเพียงพอให้กับเรา
ในพระนามพระเยซูคริสต์ ขอให้วันนี้เป็นต้นไป พวกเราทุกคนเดินเข้าสู่แผ่นดินพระสัญญาที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ได้ครอบครองหัวเมืองใหญ่โตและดี ที่เราไม่ได้สร้าง ได้เรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งเรามิได้สะสม ให้เรามีเพียงพอ และมากเกินพอ สำหรับตนเอง และการดีทุกอย่าง ให้เราได้ดื่มจากบ่อ ที่เรามิได้ขุด และได้ทานผล ที่เรามิได้ปลูก และได้ทานอย่างอิ่มหนำ
Enjoy His Rest ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น