วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

The Disciple Whom Jesus Loved Part 2 The True Secret of John


ถ้าถามพี่น้องคริสเตียน ให้นิยามความหมายของคำว่า "ความรัก" ว่า "ความรักคืออะไร?" ผมเชื่อว่าพี่น้องคริสเตียน เกือบจะร้อยทั้งร้อย จะ quote พระคัมภีร์ 1โครินทร์ บทที่ 13 ข้อ 4-7 แต่ถ้าเรา ลองอ่านพระคัมภีร์ 1คร 13:4-7 ดูดีๆ เราจะพบว่า 1คร 13:4-7 ได้กล่าวถึง ลักษณะของความรัก (Characteristics of Love) ไม่ใช่ ความหมายของความรัก (Definition of Love) แล้วอะไรละคือ คำนิยามของคำว่า "ความรัก" ตามพจนานุกรมของพระเจ้า??


1คร 13:4-7  4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง

1 Cor 13:4-7 4 Love suffers long and is kind; love does not envy; love does not parade itself, is not puffed up; 5 does not behave rudely, does not seek its own, is not provoked, thinks no evil; 6 does not rejoice in iniquity, but rejoices in the truth; 7 bears all things, believes all things, hopes all things, endures all things. (NKJ)

จากข้อพระคัมภีร์ 1คร 13:4-7 ข้างบน อาจารย์เปาโล ได้กล่าวถึงลักษณะของความรัก อาจารย์ไม่ได้นิยามความหมายของความรัก เอาไว้ในพระคัมภีร์ portion นี้

ในพระคัมภีร์ใหม่ มีพระคัมภีร์อยู่ข้อหนึ่ง ที่ได้ให้ความหมายของคำว่า "ความรัก" ไว้อย่างชัดเจน ตรงประเด็น พระคัมภีร์ข้อนี้ ยังเป็นบทสรุป ของเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง และเป็นศูนย์กลางของความเชื่อคริสเตียนก็เลยก็ว่าได้

พระคัมภีร์ข้อนั้นก็คือ...

1ยน 4:10  ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา

I Jn 4:10 In this is love, not that we loved God, but that He loved us and sent His Son to be the propitiation for our sins. (NKJ)

ในพระคัมภีร์ฉบับแปล NKJ จะพูดไว้ชัดกว่าในฉบับแปลภาษาไทย  พระคัมภีร์ฉบับ NKJ เปิดหัวมาเลยว่า "In this is love" ถ้าจะแปลวลี (Phrase) นี้ จะแปลออกมาได้ว่า "และนี่ก็คือ ความรัก" ประโยคที่จะถูกกล่าวถึง หลังจากวลี นี้ก็คือ "นิยาม" ของคำว่า "ความรัก" ตามพจนานุกรมของพระเจ้า

ผมขออนุญาต Paraphrase พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นภาษาไทย แบบบ้านบ้าน ตามความหมายที่แท้จริง (Literal) ของพระคัมภีร์ตอนนี้นะครับ

1ยน 4:10  "และนี่ก็คือความรัก มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา" - ฉบับแปลบ้านบ้าน -


คำว่า "Propitiation" ในภาษาอังกฤษ คือคำว่า "Hilasmos" ในภาษากรีก มีความหมายว่า "Atonement (การไถ่โทษบาป)" พระคัมภีร์ภาษาไทย ให้ความหมายไว้ได้ดีมาก


จุดศูนย์กลาง (Focus Point) ของความรัก ในชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่ว่า เรารักพระเจ้ามากแค่ไหน? แต่เรารู้หรือไม่ว่า พระเจ้ารักเรามากแค่ไหน??


ผมเติบโตมากับคำสอนที่ว่า "คุณต้องรักพระเจ้า ต้องรักพระองค์สุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิด" ผมก็อยากรักพระเจ้าแบบนั้น แต่ด้วยหลายๆ อย่าง หลายๆ ปัจจัย ทำให้หลายครั้ง ผมล้มเหลว และไม่สามารถจะรักพระเจ้าสุดสุดแบบนั้น ได้ตลอดเวลา 24/7 อย่างคำเทศนา และคำสอนที่ผมได้เรียน ได้ฟัง


ผมที่ตามมาก็คือ ผมรู้สึกฟ้องผิด รู้สึกว่าตัวเองแย่ รู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน ไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของพระองค์เลย ผลต่อมาก็คือ ชีวิตของผม เริ่มเดินห่างออกไปจากพระเจ้า คงเป็นเหมือนนาโอมี (แม่สามีของนางรูธ) และครอบครัว ที่ทิ้งเบธเลเฮม ไปอยู่ในดินแดนของคนโมอับ


คำสอนที่สอนให้ "เรารักพระเจ้าแบบสุดสุด สุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และก็สุดความคิด" เป็นคำสอนที่ดี จริงๆ แล้วดีมาก แต่ปัญหาก็คือ How can we do it? มีใครที่สามารถพูดได้ว่า เขาและเธอ รักพระเจ้าแบบสุดๆ ได้ตลอดเวลา 24/7

ถ้าเราสัตย์จริงกับตัวเอง จะมีบางเวลาที่เรารักพระเจ้า ในขณะเดียวกัน ก็มีบางเวลาที่ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าพร่องลงไป เมื่อเราถูกแตะ ในจุดที่เป็นจุดอ่อนไหวในชีวิต จุดอ่อนไหวในชีวิตของเราแต่ละคน อาจแตกต่างกันไป เมื่อไหร่ที่จุดนั้น โดนแตะ เราเลือกเอาความต้องการบางอย่างในชีวิตของเรา เป็นใหญ่เหนือกว่าพระเจ้า และนี่ก็คือ ความจริง ที่เกิดขึ้นกับเราผู้เชื่อทุกคน

ชีวิตที่วางจุดศูนย์ถ่วงไว้ที่ ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า จึงเป็นเหมือนคลื่นลมในทะเล ที่มีจังหวะขึ้น และก็มีจังหวะลง มากน้อย แตกต่างกันไป แล้วแต่บุคคล

พี่น้องที่รักในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้สำแดงให้ผมเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว It is not our love for Him but His love for us.


อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในภาค 1 ยอห์นบุตรเศบดี 12 ปีที่ผ่านมา ผมพยายามจะค้นหา เคล็บลับในชีวิตของยอห์น ว่ามันคืออะไร?? อะไรที่ทำให้ยอห์น ได้รับสิทธิพิเศษ เหนือว่าพี่น้องคริสเตียนในยุคสมัยของเขา และอะไรคือ เคล็บลับที่ ทำให้เขาเป็น "สาวกที่พระเยซูทรงรัก (The Disciple whom Jesus Loved)"

ผมสรุปหลักการ ไว้หลายอย่างเลยทีเดียว ว่าผมต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้เป็นเหมือนยอห์น จนเมื่อไม่นานมานี้ พระเจ้าได้สำแดงให้ผมเข้าใจ ถึงเคล็บลับที่แท้จริงของยอห์น (The True Secret of John) ว่ามันคืออะไร? และวันนี้ ผมอยากจะแบ่งปันการสำแดงนั้นกับพี่น้องทุกท่าน ที่กำลังอ่านบทความนี้



วลี "The Disciple whom Jesus Loved (สาวกที่พระเยซูทรงรัก)" จะปรากฏอยู่เฉพาะในพระกิตติคุณยอห์น ซึ่งยอห์นเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว พระกิตติคุณยอห์น ก็เป็นเสมือนสมุดไดอารี่ (Diary) ของยอห์น วลีประโยคนี้ คือ วลี ที่ยอห์นใช้เรียกตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นเรียกยอห์น


สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากตรงนี้ ก็คือ ยอห์นได้ practice ได้เตือน ได้ตอกย้ำ ตัวเขาเองอย่างสม่ำเสมอว่า "พระเจ้ารักเขา" และ "เขาคือสาวกที่พระเยซูรัก"


คริสเตียนส่วนใหญ่รู้ว่า พระเจ้ารักพวกเขาและเธอ แต่บังเอิญประเด็นสำคัญ มันไม่ได้อยู่ที่ "ความรู้" แต่อยู่ที่ "ความเชื่อ" วันนี้เราเชื่อหรือไม่ว่า พระเจ้ารักเรา และปรารถนาจะประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา พระองค์ปรารถนา จะเห็นเรามีความสุข  และมีความสุขในทุกๆ วัน


พี่น้องว่า พระบิดารักพระเยซูไหม?? ลองใคร่ครวญ และตรึกตรอง (meditate) คำถามนี้ดูนะครับ....


ถ้าพระบิดายอมแลกชีวิตของพระเยซู กับชีวิตของเรา... มันหมายความว่าอะไร??? 


มันหมายความว่า เรามีคุณค่า เรามีความสำคัญ และพระองค์ทรงรักเรา ไม่มีใคร จะเอาของที่มีคุณค่า ไปแลกกับของไร้ค่า ถ้าเขายอมแลก นั่นหมายความว่า สิ่งที่เขาแลก มีคุณค่า ไม่ได้น้อยไปกว่า สิ่งที่เขานำไปแลก


What matter to us is matter to God.


ผมสังเกตเพื่อนที่มีลูกแล้ว มีอย่างหนึ่งหนึ่ง ที่พวกเขาทุกคนมีเหมือนกัน ก็คือ ความรักในลูกๆ ของเขา พวกเขาลดรายจ่ายส่วนตัวหลายอย่างลง เพื่อจะใช้เงินที่เขาลดลงนั้น ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาในสถาบันที่ดีที่สุด ของกินของใช้ที่ดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะสามารถสรรหามาได้


เพื่อนอีกคนหนึ่งของผม ทำโรงงาน เขารู้ว่า ลูกสาวของเขา คงไม่สามารถจะสืบทอดธุรกิจที่เขาก่อตั้งได้ เขารู้ว่า ธุรกิจผูกอยู่กับตัวเขาเป็นอย่างมาก ถ้าเขาต้องเป็นอะไรไป ธุรกิจจะล้มครืน และลูกจะไม่ได้เรียนหนังสือ สิ่งที่เขาทำ ก็คือ เขาทำประกันการศึกษาให้ลูกๆ ของเขา เบี้ยประกันไม่ถูกเลย แต่เขาก็ยอมจ่าย ถ้าวันไหน เขาเป็นอะไรไป ประกันจะจ่าย ค่าการศึกษาให้ลูกๆ ของเขาทุกคน ได้เรียน จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย แม้ว่าลูกลูกของเขายังเด็ก แต่เขาได้เริ่มทำพินัยกรรม แบ่งทรัพย์สินที่เขามีให้กับลูก


พี่น้องครับ ถ้ามนุษย์ผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีที่สุดแก่ลูกของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ไม่ต้องคิดมากให้ปวดแกนสมอง พระบิดาพระเจ้าของเรา ผู้ซึ่งปราศจากบาป จะประทานของดีที่สุด กับเราอย่างแน่นอน แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งซะอีก

มธ 7:11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์ 

กุญแจ ที่จะเปิดเอาสิ่งดีที่สุดที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับพวกเราออกมา ก็คือ ความเชื่อ และความมั่นใจในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา




ที่บนไม้กางเขน พระเจ้าได้แสดงออกถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเรา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ผู้สร้าง และเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง พระองค์ได้กลายเป็นบาป พระองค์โดนแช่งสาป เพื่อเรา เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกแช่งสาป (กท 3:13) พระเยซูรู้ตั้งแต่ก่อนพระองค์จะมาประสูติ ว่าพระองค์จะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง แต่พระองค์ก็ยังเสด็จมา พระองค์เกิดเพื่อตาย ตายเพื่อพวกเราจะได้ชีวิต และได้อย่างครบบริบูรณ์

และนี่ก็คือความรัก มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่พระองค์ทรงรักเรา พระองค์รับโทษ โทษที่เป็นของเรา โทษที่เราสมควรได้รับ พระองค์รับมันไว้ ที่ร่างกายของพระองค์ ที่บนต้นไม้นั้น พระเยซูคริสต์ตายเพื่อเรา

หัวใจมันอยู่ตรงนี้ เมื่อไหร่ ที่เราเดินมาถึงจุด จุดตระหนัก ว่าพระเจ้ารักเรามากแค่ไหน? และเราเป็นที่รักยิ่งของพระองค์เสมอ แม้เวลาที่เราผิดพลาด ล้มเหลว หรือล้มลงก็ตาม ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ไม่เคยแปรเปลียน ความรักของพระองค์ หนักแน่น มั่นคง กาลเวลาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่พระเจ้ามีต่อเราได้ พระเจ้ารักเรามาตั้งแต่ปฐมกาล รักมาโดยตลอด รักมาจนวันนี้ และจะรักเราตลอดไป เพราะพระเจ้าของเรา ทรงเหมือนเดิม วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิตย์



อย่าให้มารหลอกเรา ไม่มีการปรักปรำ และการลงโทษ แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระคริสต์

รม 8:1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

Rom 8:1 Therefore, there is now no condemnation for those who are in Christ Jesus, (NIV)

เมื่อไหร่ ที่เราเดินมาถึงจุดตระหนักตรงนี้ เมื่อนั้นความรัก จะหลั่งไหลเอ่อล้น ออกมาจากชีวิตของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ประทับอยู่ภายในเรา เราทั้งหลายรัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน


1ยน 4:19  เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน

I Jn 4:19 We love Him because He first loved us. (NKJ)

ต้นมะม่วง จะเกิดผลมะม่วงตามฤดูกาล โดยที่ต้นมะม่วงไม่ต้องพยายามเบ่งผลออกมา สิ่งที่ต้นมะม่วงต้องการ ก็คือดินที่ดี และสภาพอากาศที่เหมาะสม ดิน และสภาพอากาศ ก็คือ ความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในสัจธรรมความจริงที่ว่า พระเจ้ารักเรา ถ้าพระเจ้าไม่รักเรา พระเยซูก็คงไม่มา เหตุผลเพียงข้อเดียว ที่ทำให้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงถอดพระสิริความเป็นพระเจ้าออก เสด็จมาประสูติในคอกสัตว์ที่ต่ำต้อย และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็คือ พระเจ้ารักเรา


พี่น้องที่รัก ท่านเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ผู้เป็น เจ้าของภูเขาพันลูก รักท่าน รักมากยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เสียอีก ท่านลองเอาความจริงข้อนี้ ไป meditate ดูนะครับ


ยิ่งเราตระหนักว่า พระเจ้ารักเรามากแค่ไหน เรายิ่งรักพระเจ้า และเพื่อนบ้านของเรามากขึ้นเท่านั้น effortlessly

"ONLY" Right Believing produces Right Living

มีคริสเตียนอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือกลุ่มที่เชื่อมั่นในความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ผมขอเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "กลุ่มเปโตร" กับกลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่เชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา กลุ่มนี้ผมขอเรียก พวกเขาว่า "กลุ่มยอห์น"

ผมมีคำถาม พี่น้องว่า ระหว่างความรักที่เรามีต่อพระเจ้า กับความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา อันไหนมั่นคง แน่นอน และเสถียรกว่ากัน??

ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า จะไม่เคยเสถียรเลย เพราะเราไม่เสถียร คริสเตียนที่ยืนอยู่บนความมั่นใจ ในความรักที่เขามีต่อพระเจ้า โดยไม่รู้ตัว พวกเขากำลังยืนอยู่บนฐาน บนพื้น ที่เปราะบาง พร้อมจะพังทลายลงเมื่อไหร่ก็ได้

ให้เรามาดูเรื่องของคนสองคนกัน สองคนนั้น ก็คือเปโตร และยอห์น

เปโตร แปลว่า ศิลา เปโตร คือภาพสัญลักษณ์เล็งถึงธรรมบัญญัติ เพราะพระบัญญัติ 10 ประการ ถูกสลักลงบนแผ่นศิลาสองแผ่น และการเชื่อมั่นในความสามารถ และแรงพยายามของมนุษย์ (Human Effort) เปโตร คือตัวอย่างของคนที่มั่นใจในความรักที่เขามีต่อพระเจ้า ที่ภูเขามะกอกเทศ เปโตรได้ทูลพระเยซูว่า "แม้คนทั้งปวง (คนทั้งปวงที่เปโตรกล่าวถึง ก็คือบรรดาสาวกคนอื่น เปโตรพูดประโยคนี้ ต่อหน้าสาวกคนอื่นๆ) จะทิ้งพระองค์ เขาจะไม่มีวันทิ้งพระองค์อย่างแน่นอน" เปโตรยังพูดต่อ ด้วยความมั่นใจ "ว่าแม้เขาต้องตาย เขาก็จะไม่ปฏิเสธพระเยซู" ช่างเป็นคำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ


ผมเชื่อและมั่นใจว่า เปโตรพูดประโยคนี้กับพระเยซู ด้วยความจริงใจ และด้วยความตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ สิ่งที่เปโตรไม่ตระหนักก็คือ ความรักที่เขามีต่อพระเยซู เปราะบาง ไม่เสถียร และไม่มั่นคง เท่ากับความรักที่พระเยซูมีต่อเขา


จุดศูนย์ถ่วงของเปโตร อยู่บนความสามารถ และความตั้งใจดีของเขา ว่าเขาสามารถรักพระเจ้าแบบสุดๆ ได้


จากภาพของเปโตร ให้เรามาดูอีกภาพเหตุการณ์หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ภาพนี้เป็นภาพของยอห์น ชื่อของยอห์น แปลว่า พระคุณ ยอห์นเป็นภาพสัญลักษณ์ เล็งถึงผู้เชื่อที่พึ่งพา และวางใจในพระคุณของพระเจ้า ความวางใจของพวกเขาอยู่ในความรักที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา ไม่ใช่อยู่ในความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า


ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูร่วมรับประทานกับเหล่าสาวก พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ยอห์นเอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระเยซู


ยน 13:23  ที่สำรับมีสาวกคนหนึ่งที่พระองค์ทรงรัก ได้เอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์ 


ตอนที่ยอห์นบันทึกถึงเหตุการณ์ตอนนี้ ยอห์นใช้สรรพนามแทนตัวเขาเองว่า "สาวกที่พระองค์ทรงรัก" เหตุการณ์นี้ ได้แสดงให้เราเห็นว่า ยอห์นวางความเชื่อมั่นของเขาบนความรักที่พระเยซูมีต่อเขา ต่างกับเปโตร ที่อวดอ้างถึงความรักมากมาย ที่เขามีต่อพระเยซู เปโตรพูดด้วยความมั่นใจว่า "แม้ต้องตาย เขาก็จะไม่ปฏิเสธพระเยซูเลย"


ความน่าสนใจของเหตุการณ์อยู่ในข้อพระคัมภีร์ถัดมา


คนที่อวดอ้าง และมั่นใจในความรักที่เขามีต่อพระเจ้า จะไม่เคยรู้สึกสนิทกับพระเจ้าได้จริงๆ ความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้า จะมีช่องว่างเสมอ เนื่องจากเขาจะไม่เคยมั่นใจเลยว่า สิ่งที่เขาทำดีพอหรือยัง ที่จะทำให้พระเจ้ายอมรับเขา? เปโตรไม่กล้าถามพระเยซู ว่าใครคือคนที่จะอายัดพระเยซู ในข้อ 24 เปโตรจึงส่งสัญญาณให้ยอห์นถามพระเยซู


ยน 13:24  ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามพระองค์ว่า คนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด 


ยน 13:25-29   25 ขณะที่ยังเอนกายอยู่ใกล้พระทรวงของพระองค์ สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือใคร" 26 พระองค์ตรัสตอบว่า "คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้" เมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้วก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสบุตรซีโมนอิสคาริโอท 27 เมื่อยูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าสิงในใจเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "ท่านจะทำอะไร ก็จงทำเร็วๆเถิด" 28 ไม่มีผู้ใดในบรรดาผู้ที่เอนกายร่วมสำรับเข้าใจว่า เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับเขาเช่นนั้น 29 บางคนคิดว่า เพราะยูดาสถือกล่องเก็บเงินพระองค์จึงตรัสบอกเขาว่า "จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้" หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้ทานแก่คนจนบ้าง 

ในข้อ 28 พระคัมภีร์บอกให้เราจะรู้ว่า พระเยซูได้บอกความลับนี้ กับยอห์นแค่เพียงคนเดียว

พี่น้องที่รัก เราจะไม่เคยมีความมั่นใจ และความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าจะมีช่องว่างเล็กๆ หรือใหญ่ๆ เสมอ ถ้าจุดศูนย์ถ่วงของเรา วางไว้บนความรักที่เรามีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา

เรามาดูเหตุการณ์ต่อจากนั้นกัน เปโตรผู้ซึ่งมั่นใจ ในกำลัง ความสามารถของเขาที่จะรักพระเจ้าได้สุดๆ ตลอดเวลา ได้ปฏิเสธพระเยซูถึง 3 ครั้ง

มธ 26:69-74   69 ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า "แกได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วยเหมือนกัน" 70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า "ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง" 71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า "คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย" 72 เปโตรจึงปฏิเสธอีกทั้งสาบานว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น" 73 อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า "เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง" 74 เปโตรก็สบถสาบานใหญ่ว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น" ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน

ครั้งแรกเปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวง (มากกว่าหนึ่งคน) ว่า เปโตรไม่รู้จักชายที่ชื่อเยซูนั้น ครั้งที่สอง เปโตรไม่เพียง แต่ปฏิเสธ เปโตรยังสาบานว่า ไม่เคยรู้จักชายที่ชื่อว่าเยซูเลย ครั้งที่สาม ยิ่งหนักไปกันใหญ่ เปโตร ไม่เพียงแต่ปฏิเสธว่า ไม่รู้จักชายที่ชื่อว่า เยซู คราวนี้ เปโตรยังแช่งพระเยซูอีกด้วย 
ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ ในฉบับภาษาอังกฤษฉบับ New King James ข้อ 74 พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า เปโตรไม่เพียงแต่สาบานว่า ไม่รู้จักพระเยซู เปโตรยังแช่พระองค์อีกด้วย 

Matt 26:74 Then he began to curse and swear, saying, "I do not know the Man!" And immediately a rooster crowed. (NKJ)

สาวกคนอื่นๆ ยิ่งไปกันใหญ่ พวกเขาได้หนี เอาตัวรอดกันไป ตั้งแต่มีการจับกุมพระเยซูที่สวนเกทเสมนีแล้ว

มธ 26:56  แต่เหตุการณ์ที่ได้บังเกิดขึ้นครั้งนี้ เพื่อจะสำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้" แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้ละทิ้งพระองค์ไว้ และพากันหนีไป 


ในช่วงเวลาที่ตรึงเครียดที่สุด ช่วงเวลาสุดท้ายของพระเยซู สาวกทุกคนได้ทิ้งพระองค์ไป เปโตรสาวกไข่แดง (วงในสุุด) ของพระเยซู ก็ปฏิเสธ และสาบแช่งพระองค์

แต่พี่น้องรู้ไหมครับว่า จริงๆ แล้ว ในช่วงเวลาสุดท้ายของพระเยซู ขณะที่สาวกทุกคนได้ทิ้งพระเยซูไป มีสาวกอยู่คนหนึ่ง ที่ไม่ทอดทิ้งพระองค์ สาวกคนนี้ คือสาวกคนเดียว ที่อยู่กับพระเยซูในช่วงนาทีสุดท้ายของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า สาวกคนนี้ อยู่รอรับใช้พระเยซูที่โคนกางเขน



ใช่แล้วครับ สาวกคนนี้ ก็คือ ยอห์น สาวกที่พระเยซูทรงรัก (The Disciple whom Jesus Loved)

ยน 19:26-27   26 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด" 27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า "จงดูมารดาของท่านเถิด" ตั้งแต่เวลานั้นมาสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตน

พระเยซูที่ถูกตรึงอยู่บนกางเขน ได้ฝากมารดาไว้กับยอห์น และยอห์นได้รับมารีย์มาพักอยู่ที่บ้านของตน 
ยอห์น คือสาวกคนเดียว ที่อยู่กับพระเยซู และได้รับใช้พระองค์ ในนาทีสุดท้าย

สิ่งที่เราเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ ก็คือ คนที่วางจุดศูนย์ถ่วง ไว้บนความรักที่พระเจ้ามีต่อเขา ไม่ใช่ความรักที่เขามีต่อพระเจ้า ท้ายที่สุด จะกลายเป็นคนที่รักพระเจ้าในที่สุด และนี่คือความหมายของพระคัมภีร์ 1ยน 4:19 เราทั้งหลายรัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน

ในพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 อาจารย์เปาโล ได้พูดถึง ความท้าทายต่างๆ ที่อาจารย์เปาโลต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยาก, ความลำบาก, การเคี่ยวเข็ญ, การกันดารอาหาร, การเปลือยกาย, การถูกโพยภัย และการถูกคมดาบ ในข้อ 37 อาจารย์เปาโล ได้สรุปว่า ไม่ว่าความท้าทาย ที่เราจะต้องเผชิญกับมัน จะเป็นอะไรก็ตาม เราจะมีชัยอย่างเหลือล้น ด้วยเหตุผลเพียวข้อเดียวที่ว่า "พระเจ้ารักเราทั้งหลาย"

รม 8:37  แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย


พี่น้องครับ อย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยครั้งในบล็อกนี้ และวันนี้ผมก็อยากจะพูดประโยคนั้นอีกครั้ง เพราะมันคือสัจธรรม "สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กับคนที่เชื่อว่า พระเจ้ารักเขาและเธอ" ความมั่นคง และความมั่นใจ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรา rest อยู่ในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ไม่ใช่ในความรักที่เรามีต่อพระเจ้า

สาเหตุที่หลายครั้ง เรากระวนกระวาย และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความกลัว ก็คือ เราขาดความตระหนักถึงความรักที่สมบูรณ์ของพระเจ้าที่มีต่อเรา ในความรักไม่มีความกลัว เพราะความรักที่สมบูรณ์ ได้ขจัดความกลัวหมดสิ้นแล้ว ความรักที่สมบูรณ์ที่พระคัมภีร์กำลังพูดถึงในตอนนี้ คือ ความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา มิใช่ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า เพราะว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้า 
ไม่เคยสมบูรณ์ (Never Perfect) แต่จะสั่นคลอนไปตามสถานการณ์ และแรงกดดันที่เราเผชิญ


1ยน 4:18   ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

I Jn 4:18 There is no fear in love; but perfect love casts out fear, because fear involves torment. But he who fears has not been made perfect in love. (NKJ)

พี่น้องครับ ให้วันนี้จุดศูนย์ถ่วงของเรา ย้ายจากตัวเรา ไปที่พระเจ้า ให้ความมั่นใจของเรา ย้ายจากความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ไปที่ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เมื่อไหร่ ที่เราเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ เมื่อนั้น ชีวิตคริสเตียนของเรา จะเต็มไปด้วย ความเชื่อ เพราะความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา มั่นคง แน่นอน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

จากวันนี้ไป ให้เราเตือนใจตัวเองทุกวัน ให้ทุกเช้าที่เราตื่นมา เราบอกกับตัวเราเองว่า "เราคือลูกที่พระเจ้ารัก (I am God's beloved)" อาจมีเวลา ที่เราต้องเดินเข้าไปในหุบเขาเงามัจจุราช เราต้องเผชิญหน้า กับสถานการณ์ที่กดดัน ไร้ทางออก เมื่อไหร่ที่วันนั้น เหตุการณ์นั้นมาถึง ให้เราบอกกับตัวเราเองว่า "เราคือลูกที่พระเจ้ารัก (I am God's beloved)" ไม่ว่าสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้ากับมัน จะเป็นอะไรก็ตาม เราจะมีชัยอย่างเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย

พี่น้องที่รักยิ่งในพระคริสต์ ท่านคือ "สาวกที่พระเยซูทรงรัก" และท่านคือ "ลูกที่พระบิดารักมากที่สุด"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น