ซีรีย์ The Disciple whom Jesus Loves คงจะไม่สามารถจบลงแบบสมบูรณ์ได้ ถ้าผมไม่ได้ cover เหตุการณ์ที่ทะเลทิเบเรียส (The Sea of Tiberias) เพราะเหตุการณ์ที่ทะเลทิเบเรียส มีหลายอย่างที่น่าสนใจ และน่าศึกษา เพื่อไม่เสียเวลา เราไปที่ทะเลทิเบเรียสกันเลย
ก่อนอื่น เรามาย้อนดู snapshot กันก่อน ว่าก่อนจะมาถึงเหตุการณ์ที่ทะเลทิเบเรียส มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
ที่ภูเขามะกอกเทศ เปโตร ซึ่งเป็นภาพเล็งถึงธรรมบัญญัติ และ ผู้เชื่อ [เปโตร คือผู้เชื่อไม่ใช่คนไม่เชื่อ] ที่มีความตั้งใจดี ที่จะทำสิ่งสารพัดให้กับพระเจ้า ด้วยกำลังของเขา ได้บอกกับพระเยซูต่อหน้าเหล่าสาวกว่า "ต่อให้เพื่อนๆ ของเขาทุกคน จะปฏิเสธพระเยซู เขานี่แหละ จะเป็นคนเดียวที่ยืนหยัด เคียงข้างพระเยซู เขาจะไม่มีวันทิ้งพระเยซู ต่อให้ต้องตาย เขาก็ยอมถวายชีวิต เป็นราชพลี เพื่อพระเยซู" ชัดเจน เปโตร คือภาพสัญลักษณ์ของคริสเตียน ที่มีความเชื่อ และมั่นใจในกำลังของตนเอง ว่าเขาสามารถรักพระเจ้าได้แบบสุดๆ และจะทำสิ่งสารพัดมากมายให้กับพระองค์ ทั้งยังมองว่าตนเองนั้น เหนือและดีกว่าพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ
ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย ยอห์น ได้เอนกายอยู่ข้างพระทรวงของพระเยซู ภาพของยอห์นที่เอนกายข้างพระทรวงของพระเยซู คือภาพที่แสดงออกถึงการพึ่งพา และพักพิงอยู่ในความรักที่พระเยซูมีต่อยอห์น
ในสมุดไดอารีของยอห์น (พระกิตติคุณยอห์น - The Gospel of John) ยอห์นใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า "สาวกที่พระเยซูทรงรัก (The Disciple whom Jesus Loved)" ยอห์นไม่เคย อวดอ้าง ถึงความรักที่เขามีต่อพระเยซู ตรงกันข้าม ยอห์นตอกย้ำตัวเองอยู่เสมอว่า พระเยซูรักเขา ในพระกิตติคุณยอห์น ยอห์นได้ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า "สาวกที่พระเยซูทรงรัก" ถึง 5 ครั้ง เลข "5" หรือสัญลักษณ์เล็งถึงพระคุณ ชื่อของยอห์น ก็มีความหมายว่า "พระคุณ" ยอห์น คือภาพสัญลักษณ์ของคริสเตียน ที่เชื่อ และพึ่งพาในพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ในกำลังความสามารถของตนเอง
ผมได้อธิบายความหมายของเลข "5" ไว้ในบทความ แกะรอยพระนามพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่ ตอนที่ 1 ถ้าพี่น้องไม่เคยอ่านบทความดังกล่าว ลองแวะเข้าไปอ่านดูนะครับ
ที่สวนเกทเสมนี ทหารได้มาจับกุมพระเยซู เหล่าสาวกได้หนี และทอดทิ้งพระองค์
เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง ทั้งยังสาบาน และแช่งสาปพระเยซูว่า เขาไม่เคยรู้จักกับพระองค์
พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน ในนาทีสุดท้ายของพระองค์ ที่โคนกางเขน ปรากฏสาวก เพียงคนเดียว ที่อยู่รอรับใช้พระองค์ สาวกคนนั้น ก็คือ ยอห์น พระเยซูได้ฝากฝังนางมารีย์มารดาของพระองค์ให้ยอห์นดูแล และยอห์นก็ได้รับมารีย์มาอยู่ด้วยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็คือ คนที่วางจุดศูนย์ถ่วงลงบนความรักที่เขามีต่อพระเจ้า กำลังยืนอยู่บนพื้น ที่เปราะบาง พร้อมจะพังทลายลงทุกเมื่อ โดยไม่มีข้อสงสัย เปโตรรักและจริงใจกับพระเยซู แต่สิ่งที่เปโตรไม่ตระหนักก็คือ ความรักที่เขามีต่อพระเยซู อ่อนไหว และไม่หนักแน่น เฉกเช่นความรักที่พระเยซูทรงมีต่อเขา
ตรงกันข้าม คริสเตียนที่วางจุดศูนย์ถ่วง บนความรักที่พระเจ้ามีต่อเขาและเธอ และมองไปที่ความรักที่มั่นคง ไม่เคยยั้งหยุดของพระเจ้า ความรักที่หลั่งลงมาอย่างสดใหม่ในทุกๆ เช้า ให้กับเขาและเธอ ท้ายที่สุด เขาและเธอจะกลายเป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้าในที่สุด และนี่ก็คือ ความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ที่ว่า "เราทั้งหลายรัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน"
1ยน 4:19 เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
I Jn 4:19 We love Him because He first loved us. (NKJ)
ยอห์นกลายเป็นสาวกเพียงคนเดียว ที่ติดตามพระเยซูถึงนาทีสุดท้ายของพระองค์ ได้รับใช้พระเยซูในนาทีสุดท้าย ตลอดชีวิตของยอห์น ยอห์นไม่เคยโอ้อวด หรืออวดอ้างถึงความรัก ที่เขามีต่อพระเจ้า ว่ามันมากมายและยิ่งใหญ่แค่ไหน ตรงกันข้าม เขาโอ้อวดถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อเขา และเตือนตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า "พระเยซูทรงรักเขา" จุด Focus ของยอห์น อยู่ในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา หาใช่ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้าไม่
พี่น้องลองจิตนาการ เหตุการณ์ในตอนนั้นดู อะไรทำให้เหล่าสาวก ได้ทอดทิ้งพระองค์ไปหมด อะไรทำให้เปโตรปฏิเสธพระเยซูถึงสามครั้งสามครา ทั้งสาบาน ทั้งสาปแช่งพระองค์ เป็นพัลวัน
คำตอบ ก็คือ "ความกลัว"
ในขณะที่สาวกทุกคน ต่างกลัว หนีเอาตัวรอด และชิ่งกันไปหมดแล้ว อะไร อะไรที่ทำให้ยอห์น "ไม่กลัว" ??? และกล้าปรากฏตัว และอยู่รับใช้พระเยซู กล้าที่จะ identify ตัวของเขากับพระเยซู ในนาทีสุดท้ายของพระองค์
ยอห์นได้เฉลย เคล็บลับนี้แก่เราในพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 4 ข้อ 18
1ยน 4:18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์
I Jn 4:18 There is no fear in love; but perfect love casts out fear, because fear involves torment. But he who fears has not been made perfect in love. (NKJ)
เคล็ดลับของยอห์น ก็คือ "ความรักที่สมบูรณ์" นั่นเอง
"ความรักที่สมบูรณ์ ได้ขจัดความกลัวหมดสิ้นแล้ว" อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในภาค 2 The True Secret of John ความรักที่สมบูรณ์ตรงนี้ คือความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา หาใช่ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าไม่ เนื่องจากความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ไม่เคยสมบูรณ์ (Never Perfect) แต่สั่นคลอน ไปตามสถานการณ์ และแรงกดดัน หรือความเข้มแข็งของเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ
พี่น้องที่รัก ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า จะไม่เคยมั่นคง แน่นอน และเสถียร เทียบได้กับความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ผมเชื่อว่า ไม่ใช่ ว่าเปโตร ไม่รักพระเจ้า ไม่ใช่ ว่าเปโตร ไม่จริงใจกับพระเยซู แต่เปโตรวางจุดศูนย์ถ่วงผิด แทนที่เขาจะวางจุดศูนย์ถ่วงชีวิตลงบน รากฐานที่มั่นคง แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง - ความรักที่พระเจ้ามีต่อเขา เขากลับวางไว้บนพื้น ที่อ่อนไหว สั่นคลอน และเปราะบาง - ความรักที่เขามีต่อพระเจ้า
หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูได้เสด็จกลับไปหาเหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกจับปลาทั้งคืนค่ำยันรุ่ง ก็ไม่ได้ปลาสักตัว พระองค์ทรงอวยพรพวกเขา ให้จับปลาได้มากมาย และพระองค์ยังทรงทำอาหารเช้าให้กับพวกเขาได้ทานอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจ ที่ผมอยากจะกล่าวถึงในบทความนี้ ก็คือ บทสนทนาระหว่างพระเยซูกับเปโตร
ยน 21:15-17 15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรา (agape) มากกว่าเหล่านี้หรือ" เขาทูลพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รัก (phileo) พระองค์" พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด" 16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรา (agape) หรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รัก (phileo) พระองค์" พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด" 17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารัก (phileo) เราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "เจ้ารักเราหรือ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์ (phileo)" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด
พระคัมภีร์ตอนนี้ มักถูกนำมาใช้ ในลักษณะของเงื่อนไข ว่าถ้าเรารักพระเจ้า เราต้องทำ หนึ่ง สอง สาม สี่ ฯลฯ ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรกันไปหมด
วันนี้ เราจะมาดูพระคัมภีร์ตอนนี้ แบบที่อยู่ในบริบทของมันจริงๆ
อย่างที่ผมได้กล่าวไปใน snapshot เบื้องต้น ถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนจะมาถึงเหตุการณ์ที่ทะเลทิเบเรียสตรงนี้
ก่อนหน้านี้ เปโตรแสดงความมั่นใจ ในความรักที่เขามีต่อพระเยซู ต่อหน้าพี่น้องเหล่าสาวก ว่าต่อให้ทุกคนที่นี่ปฏิเสธพระเยซู เขาจะไม่มีวันปฏิเสธพระเยซู เขายินดีตายเพื่อพระเยซู หลังจากนั้นไม่นาน เขาปฏิเสธ สาบาน และสาปแช่งพระเยซู 3 ครั้ง 3 ครา ก่อนไก่ขันสองหน - เปโตรเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในกำลังความสามารถของเขา เขาเชื่อมั่นว่า เขารักพระเจ้า และรักมากกว่าสาวกทุกคนของพระเยซู
นี่คือบริบท
หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูกลับมาหาเหล่าสาวก ที่กลับไปประกอบอาชีพชาวประมงดังเดิม พระเยซูตั้งใจ คุยกับเปโตร อย่างเฉพาะเจาะจง พระองค์เป็นครูของพวกเขา สามปีครึ่งที่ผ่านมา พระองค์ทรงสอนพวกเขาหลายต่อหลายอย่าง พระองค์ทรงแก้ไข (correct) ความคิดของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง
ครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน ที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ได้ทำเหมือนที่พระองค์ทรงทำอยู่เสมอๆ พระองค์สอนเปโตร
ให้เรามาดู มาเจาะลึกบทสทนาของพระเยซูกับเปโตรกัน
เปโตรในตอนนี้ ถ่อมใจลงมาก เพราะเขาเพิ่งผิดพลาด เพิ่งล้มเหลว ความรักมากมายที่เขาอวดอ้าง ว่าเขามีต่อพระเยซู มากกว่าสาวกคนอื่น ท้ายที่สุด ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
พระเยซูทรงถามคำถามเปโตร คำถามเดียว แต่พระองค์ถามซ้ำ 3 ครั้ง ด้วย "คำ" ที่มีความหมาย แตกต่างกัน พระองค์ไม่อ้อมค้อม คำถามเดียว ที่พระองค์ถามเปโตร 3 ครั้ง ยิงเข้าตรงใจกลางของประเด็น พระเยซู ยิงไปที่จุด เรื่องของ "ความรัก"
ครั้งแรก ในข้อ 15 พระองค์ถามเปโตรว่า ท่านรักเราแบบยินดีเสียสละ (agape) เพื่อเราหรือ?? เปโตรตอบพระเยซูว่า "พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์แค่ชอบพอพระองค์แบบมิตรสหาย (phileo)"
ครั้งที่สอง ในข้อ 16 พระเยซูถามคำถามเดิมเปโตรซ้ำอีกว่า "เจ้ารักเราแบบยินดีเสียสละ (agape) เพื่อเราหรือ?" เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์แค่ชอบพอพระองค์แบบมิตรสหาย (phileo)"
ครั้งที่สาม ในข้อ 17 พระเยซูทรงลงมาในระดับของเปโตร พระเยซูถามเปโตรเป็นครั้งสุดท้ายว่า "เจ้าชอบพอเราแบบมิตรสหาย (phileo) หรือ?" เปโตรตอบพระเยซูว่า "พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์แค่ชอบพอพระองค์แบบมิตรสหาย (phileo)"
ถ้าพี่น้องอ่านพระคัมภีร์ต่อเนื่องในบริบท พี่น้องจะสังเกตเห็นว่า เหตุการณ์ตอนนี้ พระเยซูกำลังสอนเปโตร เรื่องของความรัก ว่าไม่ใช่ความรัก ที่เขามีต่อพระองค์ แต่เป็นความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเขา หัวใจ และใจความหลักของพระคัมภีร์ตอนนี้ คือ เรื่องของความรัก ที่พระเจ้ามีต่อเรา เพราะ Key Word หลัก คือคำว่า "ความรัก" พระเยซูได้ใช้คำ สองคำ คือคำว่า "agape" และคำว่า "phileo"
"agape" คือความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ ในขณะที่ "phileo" คือความรักที่มนุษย์มีต่อกัน
เปโตร ณ จุดนี้ ได้เรียนรู้แล้วว่า มันไม่ใช่ความรักที่เขามีต่อพระเยซู แต่เป็นความรักที่พระเยซู มีต่อเขาต่างหาก ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อน ให้เขาเดินไปกับพระองค์ด้วยความมั่นใจ
1ยน 4:10 ในข้อนี้แหละเป็นความรัก มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ให้เป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา (TKJV)
agape: ความรักแบบพระเจ้า ความรักที่เสียสละข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมยอห์นบทที่ 21 ข้อ 15-17 มักจะถูกนำมาเทศนา หรือสอนอยู่บ่อยครั้งในหลายๆ คริสตจักร โดยเนื้อหาหลักของคำสอนและคำเทศน์ จะเน้นไปที่การกระทำและการรับใช้ โดยเริ่มจากการเลี้ยงดูลูกแกะของพระเจ้า และต่อยอดไปเป็นอื่นๆ มากมาย
phileo: การชอบพอแบบเพื่อน
พระคัมภีร์ตอนนี้ มักถูกนำมาใช้ ในลักษณะของเงื่อนไข ว่าถ้าเรารักพระเจ้า เราต้องทำ หนึ่ง สอง สาม สี่ ฯลฯ ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรกันไปหมด
วันนี้ เราจะมาดูพระคัมภีร์ตอนนี้ แบบที่อยู่ในบริบทของมันจริงๆ
อย่างที่ผมได้กล่าวไปใน snapshot เบื้องต้น ถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ก่อนจะมาถึงเหตุการณ์ที่ทะเลทิเบเรียสตรงนี้
ก่อนหน้านี้ เปโตรแสดงความมั่นใจ ในความรักที่เขามีต่อพระเยซู ต่อหน้าพี่น้องเหล่าสาวก ว่าต่อให้ทุกคนที่นี่ปฏิเสธพระเยซู เขาจะไม่มีวันปฏิเสธพระเยซู เขายินดีตายเพื่อพระเยซู หลังจากนั้นไม่นาน เขาปฏิเสธ สาบาน และสาปแช่งพระเยซู 3 ครั้ง 3 ครา ก่อนไก่ขันสองหน - เปโตรเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในกำลังความสามารถของเขา เขาเชื่อมั่นว่า เขารักพระเจ้า และรักมากกว่าสาวกทุกคนของพระเยซู
นี่คือบริบท
หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูกลับมาหาเหล่าสาวก ที่กลับไปประกอบอาชีพชาวประมงดังเดิม พระเยซูตั้งใจ คุยกับเปโตร อย่างเฉพาะเจาะจง พระองค์เป็นครูของพวกเขา สามปีครึ่งที่ผ่านมา พระองค์ทรงสอนพวกเขาหลายต่อหลายอย่าง พระองค์ทรงแก้ไข (correct) ความคิดของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง
ครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน ที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ได้ทำเหมือนที่พระองค์ทรงทำอยู่เสมอๆ พระองค์สอนเปโตร
ให้เรามาดู มาเจาะลึกบทสทนาของพระเยซูกับเปโตรกัน
เปโตรในตอนนี้ ถ่อมใจลงมาก เพราะเขาเพิ่งผิดพลาด เพิ่งล้มเหลว ความรักมากมายที่เขาอวดอ้าง ว่าเขามีต่อพระเยซู มากกว่าสาวกคนอื่น ท้ายที่สุด ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
พระเยซูทรงถามคำถามเปโตร คำถามเดียว แต่พระองค์ถามซ้ำ 3 ครั้ง ด้วย "คำ" ที่มีความหมาย แตกต่างกัน พระองค์ไม่อ้อมค้อม คำถามเดียว ที่พระองค์ถามเปโตร 3 ครั้ง ยิงเข้าตรงใจกลางของประเด็น พระเยซู ยิงไปที่จุด เรื่องของ "ความรัก"
ครั้งแรก ในข้อ 15 พระองค์ถามเปโตรว่า ท่านรักเราแบบยินดีเสียสละ (agape) เพื่อเราหรือ?? เปโตรตอบพระเยซูว่า "พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์แค่ชอบพอพระองค์แบบมิตรสหาย (phileo)"
ครั้งที่สอง ในข้อ 16 พระเยซูถามคำถามเดิมเปโตรซ้ำอีกว่า "เจ้ารักเราแบบยินดีเสียสละ (agape) เพื่อเราหรือ?" เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์แค่ชอบพอพระองค์แบบมิตรสหาย (phileo)"
ครั้งที่สาม ในข้อ 17 พระเยซูทรงลงมาในระดับของเปโตร พระเยซูถามเปโตรเป็นครั้งสุดท้ายว่า "เจ้าชอบพอเราแบบมิตรสหาย (phileo) หรือ?" เปโตรตอบพระเยซูว่า "พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์แค่ชอบพอพระองค์แบบมิตรสหาย (phileo)"
ถ้าพี่น้องอ่านพระคัมภีร์ต่อเนื่องในบริบท พี่น้องจะสังเกตเห็นว่า เหตุการณ์ตอนนี้ พระเยซูกำลังสอนเปโตร เรื่องของความรัก ว่าไม่ใช่ความรัก ที่เขามีต่อพระองค์ แต่เป็นความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเขา หัวใจ และใจความหลักของพระคัมภีร์ตอนนี้ คือ เรื่องของความรัก ที่พระเจ้ามีต่อเรา เพราะ Key Word หลัก คือคำว่า "ความรัก" พระเยซูได้ใช้คำ สองคำ คือคำว่า "agape" และคำว่า "phileo"
"agape" คือความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ ในขณะที่ "phileo" คือความรักที่มนุษย์มีต่อกัน
เปโตร ณ จุดนี้ ได้เรียนรู้แล้วว่า มันไม่ใช่ความรักที่เขามีต่อพระเยซู แต่เป็นความรักที่พระเยซู มีต่อเขาต่างหาก ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อน ให้เขาเดินไปกับพระองค์ด้วยความมั่นใจ
1ยน 4:10 ในข้อนี้แหละเป็นความรัก มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ให้เป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา (TKJV)
I Jn 4:10 In this is love, not that we loved God, but that He loved us and sent His Son to be the propitiation for our sins. (NKJ)
ความเชื่อ ทำงานโดยปราศจากความพยายาม (effortless) เมื่อเรารู้และมั่นใจถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา
เมื่อไหร่ ที่เราเดินมาถึงจุดตระหนัก ว่าพระเจ้ารักเรามากแค่ไหน และรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขอย่างไร เมื่อนั้น เราจะรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
การกระทำหลายต่อหลายอย่าง จะเริ่มไหลริน และเอ่อล้นออกมาจากชีวิตของเรา ตอบสนองต่อความรักที่พระเจ้ามีให้กับเรา และไหลออกไปยังพี่น้องคริสเตียน ตลอดจนเพื่อนบ้านของเรา
ประโยคหลักที่พระเยซู ถามเปโตร คือ เรื่องของ "ความรัก" ประโยครอง คือ "ดูแลแกะของเรา" ประโยครอง ไปสนับสนุนประโยคหลัก พระเยซูกำลังบอกกับเปโตรว่า ไม่เป็นไร ความผิดพลาด สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ให้มันผ่านไป พระองค์รัก และยกโทษให้เปโตร ไม่มีการปรักปรำจากพระองค์ เดินหน้าต่อ เดินไปกับพระองค์
พระเยซูฝากให้เปโตรดูแลแกะของพระองค์ด้วย เป็นการบอก และให้ความมั่นใจกับเปโตรว่า พระองค์ยังไว้ใจในเปโตรเหมือนเดิม พี่น้องที่รักยิ่งในพระคริสต์ แม้ว่าท่านจะผิดพลาดมามากมายแค่ไหน แม้ว่าท่านจะล้มลุกคลุกคลานแบบไม่เป็นท่า พระเจ้าอยากจะบอกกับท่านว่า พระองค์ยังไว้ใจในตัวท่านเสมอ ความรู้สึกที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าท่านจะผิดพลาด ล้มเหลว เดินหน้าต่อ เดินไปกับพระองค์
พระเยซูไม่อยากให้เราจมปรักอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และเราก็ไม่สามารถจะกลับไปแก้ไขมันได้ สิ่งที่พระองค์อยากบอกกับเราก็คือ ยึดมั่น (Hold On) ในความรักพระองค์ และเดินหน้าต่อ เดินไปกับพระองค์
พี่น้องที่รัก พระเจ้าทรงดีกับเรา พระองค์ทรงรักเรา แท้ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงรักเรา มากกว่าชีวิตของพระองค์เสียอีก เพื่อเราแล้ว พระองค์ยินดีสละ ชีวิตของพระองค์ ยินดีแลกตัวของพระองค์กับเรา เมื่อไหร่ ที่สัจธรรม และความจริงนี้ กระจ่างในวิญญาณจิตของเรา เมื่อนั้น การตอบสนองต่อความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่ต้องพยายาม
ไม่ต้องมีใครมาสั่งให้เราทำ เราอยากจะทำให้กับพระเจ้า เพราะเหตุว่า พระคุณ ความรัก และความดีที่พระเจ้ามีต่อเรา นั้นไม่มีเงื่อนไข และมากมายเหลือคณา ทุกครั้งที่เราผิดพลาด แม้ในเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระองค์ก็ให้อภัยเราเสมอ พระองค์ไม่เคยปรักปรำเรา พระเจ้าจะพูดกับเราว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก" (ยน 8:11)
ยน 8:11 นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก"
John 8:11 She said, "No one, Lord." And Jesus said to her, "Neither do I condemn you; go and sin no more." (NKJ)
ด้วยพระคุณอันไพบูลย์ ที่เราได้รับมาเปล่าๆ โดยที่เราไม่สมควร ใจของเรา จึงอยากที่จะตอบสนอง ต่อความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา การเลี้ยงแกะ หรือการรับใช้ต่างๆ จึงไหลออกมาจากใจ จากชีวิตของเราอย่างเป็นธรรมชาติ และปราศจากแรงพยายาม เวลาที่เรารักใคร เราจะอยากทำสิ่งต่างๆ ให้กับเขาและเธอ เมื่อเราตกหลุมรักพระเจ้า เราจะอยากทำสิ่งต่างๆ ให้กับพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราต้องทำ แต่เพราะว่าเราอยากจะทำ (Not because we have to but we want to)
เราไม่ได้ทำสิ่งสารพัดมากมาย เพื่อให้พระเจ้ารักเรา เพราะเหตุว่า พระเจ้ารักเราอยู่แล้ว แม้ว่าเราจะไม่ทำอะไรให้กับพระองค์เลยก็ตาม พระองค์ก็รักเรา รักเราเสมอ
เราไม่ได้ทำสิ่งสารพัดมากมาย เพื่อให้พระเจ้าอวยพรเรา เพราะเหตุว่า พระพรที่เราได้รับ มาจากงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซู ไม่ใช่จากความดีของเรา พระพรที่เราได้รับ มาโดยพระคุณของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นกับความสมควร ความดี หรือการกระทำมากมายของเรา พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน โดยไม่ขึ้นกับการกระทำและความดีของเรา แต่ขึ้นกับพระคุณอันไพบูลย์ และความดีของพระเจ้า
แม้ว่าท้ายที่สุด จะไม่มีใครต้อนรับพระเยซู พระเยซูก็จะยังคงเสร็จมา พระองค์ก็จะยังทรงไปที่กลโกธา เพื่อที่จะตายเพื่อเรา เพราะพระองค์นั้นรักเรามาก พระองค์ไม่สามารถที่จะไม่ทำหน้าที่พระเจ้าของเรา พระองค์จะไม่บังคับ จะไม่ฝืนใจเราให้ต้อนรับพระองค์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่ในส่วนของพระองค์ พระองค์จะทำส่วนของพระองค์อย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุด ที่จะไถ่ จะกู้เรา ออกจากโทษทัณฑ์ของความบาป
ลก 9:58 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวาง (klino) ศีรษะ"
ในพระธรรมลูกาบทที่ 9 ข้อ 58 พระเยซูทรงตรัสกับชายคนหนึ่งว่า "หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่พระองค์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ"
คำว่า "วาง (Lay)" คำนี้ มาจากคำภาษากรีกว่า "Klino" จริงๆ แล้ว คำที่มีความหมายว่า "วาง" ในภาษากรีก มีทั้งหมด 18 คำ คำว่า "Klino" เป็นคำที่ไม่ค่อยถูกใช้
ตลอดพระคัมภีร์ใหม่ คำคำนี้ ถูกใช้แค่ 2 ครั้ง ทั้งสองครั้ง ที่คำนี้ถูกใช้ ต่างเกี่ยวข้องกับพระเยซูทั้งสิ้น
ครั้งแรก คำนี้ถูกใช้ในบริบทตรงนี้ ที่พระเยซูบอกว่า "พระองค์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ" (มธ 8:20 และ ลก 9:58)
ครั้งสุดท้าย ที่คำคำนี้ถูกใช้ คือในพระธรรมยอห์น บทที่ 19 ข้อ 30
ยน 19:30 เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้ม (klino) พระเศียรลงสิ้นพระชนม์
John 19:30 So when Jesus had received the sour wine, He said, "It is finished!" And bowing (klino) His head, He gave up His spirit. (NKJ)
ในที่สุด พระเยซูก็พบ พบที่ที่พระองค์จะวางศีรษะแล้ว ที่นั่นก็คือ ที่ที่พระองค์จะได้แสดงออกถึงความรักที่พระองค์มีต่อเรา ที่นั่นก็คือ ที่ที่พระองค์จะได้ให้ชีวิตของพระองค์กับเรา พระองค์ได้จ่ายค่าไถ่บาปของเรา ด้วยชีวิตของพระองค์ บนไม้กางเขน พระองค์ได้ทำหน้าที่พระเจ้าของเรา อย่างสมบูรณ์แบบ
พี่น้องที่รัก พระเจ้ารักท่าน รักมากกว่าชีวิตของพระองค์เสียอีก พระเจ้าอยากบอกกับท่านว่า "พระเจ้ารักท่าน และท่านเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้าเสมอ"
ถ้าในวันนี้ ท่านกำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรค ปัญหา แรงกดดัน หรือจะความท้าทายอะไรก็ตาม พระเจ้าอยากจะบอกกับท่านว่า ท่านจะมีชัยอย่างเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ทรงรักท่าน (รม 8:37) ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายท่าน ไม่มีผู้ใดจะทำอะไรท่านได้ (รม 8:31) พระองค์ทรงอยู่ฝ่ายท่าน และจะทรงช่วยกู้ท่านอย่างแน่นอน เพราะพระองค์ทรงรักท่าน
ถ้าพระบุตรองค์เดียว ผู้ซึ่งพระองค์ทรงรัก และรักมากที่สุด พระองค์ก็ไม่ได้หวงแหนไว้จากท่าน พระองค์จะไม่หวงแหนสิ่งดีอื่นใด และสิ่งสารพัดจากท่านด้วยเช่นเดียวกัน
รม 8:32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ
ความเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้ามีต่อท่าน คือพลังแห่งความเชื่อ ที่จะเรียกสิ่งที่ไม่มีให้เกิดขึ้น อย่าพุ่งความสนใจ ไปที่ความผิดพลาดในอดีด ที่ท่านไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว แม้ความผิดพลาดนั้น จะเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากตัวของท่านเองก็ตาม แต่ให้มองไปที่พระเยซู มองไปที่ความรัก ที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน และเชื่อมั่นในความรักนั้น
พระองค์ได้จัดเตรียมพระพรที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้กับท่าน และด้วยสารพัดพระพรที่มากมายเหล่านั้น ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านนั้น จะทำให้ท่านลืมความทุกข์ยาก ความลำบากทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้ ให้วันนี้เราเดินหน้า (move on) เดินไปกับพระเจ้า พระองค์ทรงรักท่าน และท่านเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้าเสมอ (You are God's Beloved.)
ความเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้ามีต่อท่าน คือพลังแห่งความเชื่อ ที่จะเรียกสิ่งที่ไม่มีให้เกิดขึ้น อย่าพุ่งความสนใจ ไปที่ความผิดพลาดในอดีด ที่ท่านไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว แม้ความผิดพลาดนั้น จะเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากตัวของท่านเองก็ตาม แต่ให้มองไปที่พระเยซู มองไปที่ความรัก ที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน และเชื่อมั่นในความรักนั้น
พระองค์ได้จัดเตรียมพระพรที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้กับท่าน และด้วยสารพัดพระพรที่มากมายเหล่านั้น ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านนั้น จะทำให้ท่านลืมความทุกข์ยาก ความลำบากทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้ ให้วันนี้เราเดินหน้า (move on) เดินไปกับพระเจ้า พระองค์ทรงรักท่าน และท่านเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้าเสมอ (You are God's Beloved.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น