ตลอดพันธกิจ 3 ปีครึ่งของพระเยซู พระเยซูทรงฟื้นชีวิตคนตายทั้งหมด 3 ครั้ง 1 ใน 3 คือการฟื้นคืนชีวิตให้กับลาซารัส น้องชายของมารีย์ และมารธา ชาวเบธานี แคว้นยูเดีย (ยน 11:1-3) เหตุการณ์นี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ Classic ที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในพันธกิจของพระเยซูคริสต์เลยก็ว่าได้ เหตุการณ์นี้ มีหลายต่อหลายอย่าง ที่เราสามารถเรียนรู้ และได้รับการหนุนใจ วันนี้เรามาร่วมแกะรอยเหตุการณ์ "ลาซารัส" กัน
ขณะที่พระเยซูทรงพำนักอยู่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน มีชายคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า "ลาซารัส น้องชายของมารีย์ และมารธากำลังป่วยหนักอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี"
พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระองค์ไม่ได้ไปในทันที แต่พระองค์ทรงพำนักที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนต่ออีก 2 วัน
หลังจากสองวันผ่านไปแล้ว พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า "ให้พวกเราไปที่หมู่บ้านเบธานี ในแคว้นยูเดียกันเถิด" พระเยซูทรงรู้ว่า ลาซารัสได้เสียชีวิตแล้ว พระองค์ต้องการไปที่นั่น เพื่อที่จะฟื้นคืนชีวิตให้กับลาซารัส แต่เหล่าสาวกได้ทัดทานว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆ นี้ พวกยิวหาโอกาส เอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ?" (ยน 11:7-8)
พระองค์มิได้ฟังคำทัดทานของเหล่าสาวก พระองค์เดินหน้าต่อกับการตัดสินใจของพระองค์ พระองค์เสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี จนโทมัส ต้องพูดกับเพื่อนๆ เหล่าสาวกของเขาว่า "ให้พวกเราไปตายด้วยกันกับพระองค์เถิด" (ยน 11:16)
สิ่งแรกที่เราได้เรียนรู้ จากเหตุการณ์นี้ก็คือ "หัวใจของพระเยซู" หัวใจที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเรา แม้จะมีภัยอันตรายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ภัยอันตรายเหล่านั้น ก็ไม่อาจหยุดยั้งพระองค์ให้มาช่วยเราได้ เพราะหัวใจพระองค์ที่มีต่อพวกเรา ใหญ่กว่าภยันตรายเหล่านั้นเสมอ พระเยซูยังคงเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานีแคว้นยูเดีย ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว ที่ว่า "พระองค์ทรงรักมารีย์ มารธา และลาซารัส"
ยน 11:5 พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส
ยน 11:36 พวกยิวจึงกล่าวว่า "ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร"
พี่น้องที่รัก พระเจ้าไม่สามารถจะไม่รักพวกเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก (1ยน 4:8) พระเจ้าไม่ใช่แค่มีความรักนะ แต่พระองค์เอง เป็น/คือ "ความรัก" พี่น้องลองไป mediate ความจริงข้อนี้ดูนะครับ
เราต้องไม่ลืมว่า ณ จุดนั้นของเวลา แม้ว่าพระเยซูจะเป็นพระเจ้า 100% แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็เป็นมนุษย์ 100% ด้วยเช่นเดียวกัน ผลของการที่พระองค์ เป็นมนุษย์ 100% พระองค์จึงอยู่ภายใต้ความจำกัดหลายๆ อย่าง เช่น พระองค์ไม่สามารถอยู่ทุกที่ ในเวลาเดียวกัน เหมือนตอนที่พระองค์เป็นพระเจ้า 100%
พระองค์ทรงเหนื่อยล้า ได้เหมือนพวกเรา พี่น้องจำเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงบรรทมหลับบนเรือ เนื่องด้วยความอ่อนล้าได้ไหมครับ?
หรือเวลาที่ทหารโรมันตอกตะปูเข้าที่มือพระองค์ พระองค์ทรงเจ็บ และเลือดไหลได้เหมือนกันกับพวกเรา
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ในความจำกัด ที่พระองค์มี พระองค์ก็ยังเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี เพื่อไปฟื้นคืนชีวิตให้กับลาซารัส เพราะเหตุผลที่ว่า พระองค์ทรงรักพวกเขา
พี่น้องที่รัก สิ่งที่ขับเคลื่อนพระหัตถ์พระเจ้า ก็คือ หัวใจที่พระองค์ทรงมีต่อเรา สถานการณ์ที่เราเผชิญอาจเปลี่ยนไปวันต่อวัน อย่าให้เรามองที่สถานการณ์ที่เปลียนแปลงเหล่านั้น แต่ให้เรามอง ไปที่ความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มีต่อเรา
พระเยซูยอมเสี่ยงที่จะถูกทำร้าย เพื่อไปฟื้นคืนชีวิตให้กับลาซารัส เพราะพระองค์รักสามพี่น้องชาวเบธานี สำหรับพระเยซูแล้ว สวัสดิภาพของเรามาก่อน สวัสดิภาพของพระองค์เสียอีก ใจของพระองค์อยู่ที่เรา เพราะเราคือแก้วตาดวงใจของพระเจ้า พระเจ้าทรงตรัสว่า ใครแตะต้องเรา เท่ากับผู้นั้นได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์ (ศคย 2:8)
ศคย 2:8 ....(เพราะว่าผู้ใดได้แตะต้องเจ้า ก็ได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์) พระเจ้าจอมโยธาจึงตรัสดังนี้ว่า
และนี่แหละคือ หัวใจของพระเยซู พระเจ้าที่เราทั้งหลายเชื่อ และติดตามพระองค์ วันนี้พระเยซูอยากจะบอกกับพวกเราทุกคนว่า พระองค์รักเรา ไม่ได้น้อยไปกว่า ที่พระองค์ทรงรักสามพี่น้องชาวเบธานี พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิม วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิตย์ (ฮบ 13:8)
ในวันนั้น แม้ในความจำกัด พระองค์ยังเสด็จไปช่วยลาซารัส มาในวันนี้ พระเยซูทรงเสด็จกลับไปประทับ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา พระองค์กลับคืนสู่สภาพพระเจ้า 100% ไม่มีอะไรที่เป็นความจำกัดสำหรับพระองค์อีกต่อไป ไม่มีเหตุผล อะไรที่พระองค์จะไม่เสด็จมาช่วยเรา พระองค์จะมาช่วยท่านกับข้าพเจ้าอย่างแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัย
ไม่ว่า ณ จุดนี้ของเวลา ท่านกำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรค หรือจะปัญหาอะไรก็ตาม อาทิ ปัญหาความเจ็บป่วย, ปัญหาการเงิน, ปัญหาการงาน, ปัญหาครอบครัว ฯลฯ ขอให้ท่านมั่นใจ มั่นใจในความรักที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน พระองค์จะมาช่วยเหลือท่านที่หมู่บ้านเบธานีอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ที่วันนี้ท่านกำลังอ่านบทความนี้ พระเจ้าอยาก จะบอกกับท่านว่า "Rest in His Love"
เมื่อพระองค์ทรงเสด็จมาถึง มีคนแจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่า ลาซารัสเสียแล้ว ศพของลาซาลัส ได้ถูกนำไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพได้ 4 วันแล้ว
ข้อคิดที่สอง ที่เราได้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ หลายครั้ง ในฝ่ายกายภาพ อาจดูเหมือนว่า พระเจ้าจะมาสาย อย่างในเหตุการณ์ตอนนี้ พระเยซูมาถึงช้าไป 4 วัน เพราะลาซารัสตายไปแล้ว 4 วัน ถ้าจะว่าไป ศพลาซารัสคงเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นแล้ว
แต่ความจริงก็คือ พระเจ้าของเราไม่เคยมาสาย พระองค์มาตรงเวลาเสมอ
พี่น้องที่รัก ถ้าวันนี้ท่านกำลังรอคอย คำตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้าอยู่ ภายในใจของท่านร้อนรุ่ม เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่เป็นจังหวะ ท่านอาจ ร้องเรียกพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงอยู่ไหน? ทำไมพระองค์ไม่มาช่วยลูก? ถ้าพระองค์ไม่มาช่วยลูกเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างจะสายเกินแก้แล้วนะ
เมื่อไหร่ที่ท่านมองสถานการณ์ จากมุมมองฝ่ายกายภาพ อาจดูเหมือน ว่าพระเจ้ามาสาย พระองค์มาไม่ทัน สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ตอนนี้ก็คือ พระเยซูไม่ได้มาสาย เราต้องไม่ลืมความจริงข้อหนึ่งว่า เราอยู่ภายใต้ความจำกัดหลายๆ อย่าง แต่พระเจ้าของเราไม่ พระองค์ทรงอยู่เหนือขีดความจำกัดทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้สำหรับพระองค์ (มก 10:27)
ต่อให้ลาซารัสจะตายไปแล้ว 4 วัน 40 วัน หรือ 40 ปี ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า ต่อให้ศพลาซารัสจะเน่า จนเหลือเพียงซากกระดูกแห้ง ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า เพราะพระองค์สามารถคืนชีวิตให้กับลาซารัสได้อยู่ดี อย่าให้ความจำกัดที่เรามี ไปจำกัดพระเจ้า ที่ไม่จำกัดของเรา
ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวถึง ก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนาของมารธากับพระเยซู
พระธรรมยอห์นบทที่ 11 ข้อ 21 มารธาบอกกับพระเยซูว่า "ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย" มารธาในตอนนี้ จมปรักอยู่กับอดีต ที่แก้ไขอะไรไม่ได้ อดีตก็คืออดีต ที่ได้ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเราจะพร่ำพูดถึงมัน ตัดพ้อ ต่อว่าตัวเราเอง หรือแม้แต่ผู้อื่นมากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซ้ำทำให้เราจิตตก และคนที่เกี่ยวข้องท้อใจไปเปล่าๆ
มารธาในตอนนี้ พร่ำพูด ถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วว่า "ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ ถ้าในตอนนั้น (อดีต) พระเยซูอยู่ที่นี่ ลาซารัสก็คงไม่ตาย"
ในข้อ 23 พระเยซูตรัสตอบมารธาว่า "น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก" - พระเยซูกำลังบอกกับมารธา ว่าน้องชายของเธอกำลังจะฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้
หลังจากที่ได้ฟังดังนั้นแล้ว ในข้อ 24 มารธาทูลพระเยซูว่า "ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย (อนาคต) เมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา" มารธากระโดดจากอดีตไปในอนาคต
พระเจ้าของมารธา อยู่ในอดีต และอนาคต ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน
มารธา คือภาพสะท้อนถึงผู้เชื่อในวันนี้ ผู้เชื่อหลายคน รู้และก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงทำอัศจรรย์มากมายในอดีต ไม่ว่าจะ แยกทะเลแดง, หล่นมานาจากฟ้า, ทลายกำแพงเมืองเยรีโค, ปิดปากราชสีห์, รักษาโรคคนเจ็บป่วย, ทำให้คนตายฟื้น หรือสงบคลื่นลมที่บ้าคลั่ง
แต่เมื่อมาถึงเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับมันในวันนี้ พวกเขากลับไม่แน่ใจว่า พระเจ้าจะยังทรงทำอัศจรรย์อีกหรือไม่?? พวกเขาคิดว่า อัศจรรย์คงมีแค่ในอดีต
พี่น้องที่รัก พระเจ้าอยากจะบอก และให้ความมั่นใจกับเรา ว่าวันนี้พระองค์ยังคงทำอัศจรรย์ เหมือนที่พระองค์ได้เคยทำมาในอดีต
แท้ที่จริงแล้ว พระองค์ได้สัญญา ว่าพระองค์จะทำมากกว่าที่พระองค์ได้เคยทำมาในอดีตด้วยซ้ำผ่านเรา กุญแจที่จะเปิดไปสู่อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเยซูเคยทำมา ก็คือ "ความวางใจในพระเยซู"
ยน 14:12 "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา
... สิ่งดีดี จะเกิดขึ้นกับคนที่เชื่อว่า พระเจ้ารักเขาและเธออย่างแน่นอน ...
เมื่อพระองค์ทรงเสด็จมาถึง มีคนแจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่า ลาซารัสเสียแล้ว ศพของลาซาลัส ได้ถูกนำไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพได้ 4 วันแล้ว
ข้อคิดที่สอง ที่เราได้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ หลายครั้ง ในฝ่ายกายภาพ อาจดูเหมือนว่า พระเจ้าจะมาสาย อย่างในเหตุการณ์ตอนนี้ พระเยซูมาถึงช้าไป 4 วัน เพราะลาซารัสตายไปแล้ว 4 วัน ถ้าจะว่าไป ศพลาซารัสคงเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นแล้ว
แต่ความจริงก็คือ พระเจ้าของเราไม่เคยมาสาย พระองค์มาตรงเวลาเสมอ
พี่น้องที่รัก ถ้าวันนี้ท่านกำลังรอคอย คำตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้าอยู่ ภายในใจของท่านร้อนรุ่ม เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่เป็นจังหวะ ท่านอาจ ร้องเรียกพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงอยู่ไหน? ทำไมพระองค์ไม่มาช่วยลูก? ถ้าพระองค์ไม่มาช่วยลูกเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างจะสายเกินแก้แล้วนะ
เมื่อไหร่ที่ท่านมองสถานการณ์ จากมุมมองฝ่ายกายภาพ อาจดูเหมือน ว่าพระเจ้ามาสาย พระองค์มาไม่ทัน สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ตอนนี้ก็คือ พระเยซูไม่ได้มาสาย เราต้องไม่ลืมความจริงข้อหนึ่งว่า เราอยู่ภายใต้ความจำกัดหลายๆ อย่าง แต่พระเจ้าของเราไม่ พระองค์ทรงอยู่เหนือขีดความจำกัดทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้สำหรับพระองค์ (มก 10:27)
"With men it is impossible, but not with God; for with God all things are possible."
ต่อให้ลาซารัสจะตายไปแล้ว 4 วัน 40 วัน หรือ 40 ปี ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า ต่อให้ศพลาซารัสจะเน่า จนเหลือเพียงซากกระดูกแห้ง ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเจ้า เพราะพระองค์สามารถคืนชีวิตให้กับลาซารัสได้อยู่ดี อย่าให้ความจำกัดที่เรามี ไปจำกัดพระเจ้า ที่ไม่จำกัดของเรา
ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวถึง ก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนาของมารธากับพระเยซู
พระธรรมยอห์นบทที่ 11 ข้อ 21 มารธาบอกกับพระเยซูว่า "ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย" มารธาในตอนนี้ จมปรักอยู่กับอดีต ที่แก้ไขอะไรไม่ได้ อดีตก็คืออดีต ที่ได้ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเราจะพร่ำพูดถึงมัน ตัดพ้อ ต่อว่าตัวเราเอง หรือแม้แต่ผู้อื่นมากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซ้ำทำให้เราจิตตก และคนที่เกี่ยวข้องท้อใจไปเปล่าๆ
มารธาในตอนนี้ พร่ำพูด ถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วว่า "ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ ถ้าในตอนนั้น (อดีต) พระเยซูอยู่ที่นี่ ลาซารัสก็คงไม่ตาย"
ในข้อ 23 พระเยซูตรัสตอบมารธาว่า "น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก" - พระเยซูกำลังบอกกับมารธา ว่าน้องชายของเธอกำลังจะฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้
หลังจากที่ได้ฟังดังนั้นแล้ว ในข้อ 24 มารธาทูลพระเยซูว่า "ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย (อนาคต) เมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา" มารธากระโดดจากอดีตไปในอนาคต
พระเจ้าของมารธา อยู่ในอดีต และอนาคต ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน
มารธา คือภาพสะท้อนถึงผู้เชื่อในวันนี้ ผู้เชื่อหลายคน รู้และก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงทำอัศจรรย์มากมายในอดีต ไม่ว่าจะ แยกทะเลแดง, หล่นมานาจากฟ้า, ทลายกำแพงเมืองเยรีโค, ปิดปากราชสีห์, รักษาโรคคนเจ็บป่วย, ทำให้คนตายฟื้น หรือสงบคลื่นลมที่บ้าคลั่ง
แต่เมื่อมาถึงเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับมันในวันนี้ พวกเขากลับไม่แน่ใจว่า พระเจ้าจะยังทรงทำอัศจรรย์อีกหรือไม่?? พวกเขาคิดว่า อัศจรรย์คงมีแค่ในอดีต
พี่น้องที่รัก พระเจ้าอยากจะบอก และให้ความมั่นใจกับเรา ว่าวันนี้พระองค์ยังคงทำอัศจรรย์ เหมือนที่พระองค์ได้เคยทำมาในอดีต
แท้ที่จริงแล้ว พระองค์ได้สัญญา ว่าพระองค์จะทำมากกว่าที่พระองค์ได้เคยทำมาในอดีตด้วยซ้ำผ่านเรา กุญแจที่จะเปิดไปสู่อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเยซูเคยทำมา ก็คือ "ความวางใจในพระเยซู"
ยน 14:12 "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา
John 14:12 "Most assuredly, I say to you, he who believes in Me, the works that I do he will do also; and greater works than these he will do, because I go to My Father. (NKJ)
ถ้าวันนี้ท่านเชื่อและวางใจในความรักที่พระเยซูทรงมีต่อท่าน ท่านคือ คนที่จะได้สัมผัสกับอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเยซูเคยกระทำมาในอดีต พระเยซูทรงรักเรามาก มากขนาดที่ชีวิตพระองค์ พระองค์ก็ยอมสละเพื่อเรา ถ้าเราไม่วางใจในพระองค์ แล้วเราจะวางใจในผู้ใดเล่า?
พระองค์เท่านั้น ที่แน่นอน มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง และรักเรา จงวางใจในความรักของพระองค์เถิด ถ้าท่านเป็นคนหนึ่ง ที่หัวใจอ่อนแอ ไม่สามารถรับความผิดหวังได้ ให้ท่านเอาความวางใจทั้งหมดที่ท่านมีมอบไว้กับพระเยซู และท่านจะไม่เคยผิดหวัง และเสียใจเลย
ในความคิด และความเข้าใจของมารธา พระเจ้าของเธอ คือพระเจ้าที่อยู่ในอดีต และในอนาคต เธอไม่แน่ใจ และไม่เชื่อว่า พระเยซูจะทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ต่อหน้าต่อเธอในวันนี้ เธอถึงได้ตัดพ้อถึงอดีตกับพระเยซูว่า "ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของเธอ ก็คงไม่ตาย" เมื่อพระเยซูบอกกับเธอว่า "ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก" เธอก็ผลักเหตุการณ์นั้นไปในอนาคตว่า "ใช่ น้องของเธอ จะเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย"
มารธา จึงเป็นภาพสะท้อนของผู้เชื่อ ที่ได้แต่มองย้อนกลับไปในอดีต และหวังว่า อดีตที่ไม่ดีทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อมองแล้ว ก็ท้อแท้ ขมขื่นและสูญเสียความเชื่อ เนื่องจากอดีตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และมองไปในอนาคต และหวังว่าอนาคตต่อไปจะดี พวกเขาไม่เชื่อว่า พระเยซู พระเจ้า "เราเป็น (I Am)" ได้อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว พร้อมที่จะช่วยเหลือพวกเขา และพร้อมที่จะทำอัศจรรย์ให้กับพวกเขา ในวันนี้ ณ จุดนี้ จุดปัจจุบันของเวลา
ผมชอบประโยคที่พระเยซูตรัสตอบมารธา
ยน 11:25 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก
John 11:25 Jesus said to her, "I am the resurrection and the life. He who believes in Me, though he may die, he shall live. (NKJ)
พระเยซูบอกกลับมารธาว่า "เราเป็น (I Am)" พระองค์ไม่บอกว่า "เราเคยเป็น (I was)" หรือ "เราจะเป็น (I will be)" แต่พระองค์ทรงบอกอย่างชัดเจนว่า "เราเป็น (I Am)" - Present Tense ปัจจุบันกาล
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของวันนี้ด้วย ไม่ใช่แค่พระเจ้าในอดีต หรือพระเจ้าในอนาคตเท่านั้น อะไรที่เราเห็นพระเยซูทรงกระทำ ผ่านพระคัมภีร์ในอดีต i.e. เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยปลาสองตัวและขนมปังห้าก้อน, เปลี่ยนน้ำเปล่าให้กลายเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี, รักษาคนเจ็บป่วยให้หาย, หยุดคลื่นลมที่บ้าคลั่ง ฯลฯ ให้วันนี้เราเชื่อ มั่นใจ และคาดหวัง ว่าอัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น จะเกิดขึ้นอีกครั้ง หรืออีกหลายๆ ครั้ง ในชีวิตของเรา
จริงๆ แล้วถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ต้องบอกว่า อัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นกับเรา จะยิ่งใหญ่กว่าที่พระองค์ได้เคยทำมา เพราะนี่คือพระสัญญาของพระองค์
ถ้าวันนี้ ท่านกำลังเผชิญหน้ากับความขัดสน ไม่เพียงพอ ให้ท่านเชื่อพระเจ้า ว่าพระองค์จะเพิ่มพูนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของท่าน [ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว] ให้ท่านมีเพียงพอ และเกินพอ เพราะขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ในมือพระเยซู สามารถเลี้ยงคนห้าพันคน และยังเหลืออีก 12 กระบุงเต็ม
พี่น้องที่รัก วันนี้พระเจ้าอยากจะบอกกับพวกเรา เหมือนที่พระองค์ได้บอกกับมารธาว่า พระองค์เป็นพระเจ้าของวันนี้ด้วย ไม่ใช่แค่พระเจ้าในอดีต หรือพระเจ้าในอนาคตเท่านั้น พระองค์ใส่ใจ และสนใจความต้องการในวันนี้ของเรา
พระเจ้ามีพระคุณอย่างเพียงพอให้กับเราในทุกๆ วัน ที่เราเดินไปกับพระองค์ พระคุณที่พระเจ้ามีให้กับเรา ไม่ขึ้นกับความดี ความคู่ควร และการกระทำของมากมายของเรา แต่ขึ้นกับพระคุณ และความดีของพระเจ้า พระพรในชีวิตคริสเตียน แท้จริงแล้ว เกิดจากความดีของพระเยซู โดยงานที่สำเร็จแล้วของพระองค์ ไม่ใช่ความดีของเรา
บนกางเขน พระเยซูได้แลกเปลี่ยน เอาคำแช่งสาปที่เป็นของเรา ไปเป็นของพระองค์ และแลกเอาพระพรที่เป็นของพระองค์กลับมาให้เรา พระพรในชีวิตของเรา จึงเป็นของขวัญ ที่พระเยซูมอบให้กับเรา โดยพระคุณอันไพบูลย์ของพระองค์
อย่ากระวนกระวาย และเป็นกังวลสำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เมื่อเราตื่นมา พระเจ้าได้เตรียมพระคุณ สำหรับวันพรุ่งนี้ไว้ให้กับเราแล้ว ไว้ใจในพระเจ้า และนอนหลับให้สบายในแต่ละวัน We are in His good hands.
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผมชีพจรลงเท้า ต้องเดินทางไปโน่นมานี่หลายที่ เรื่องธุรกิจส่วนตัว ตอนที่รถผมติดไฟแดงอยู่ ผมเห็นนกบินจากสายไฟฟ้า ลงมาที่พื้นถนน ข้างๆ กับที่รถผมจอดอยู่ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ มีอาหารอยู่ที่พื้นให้นกได้กิน
ทำให้พระคัมภีร์ข้อนี้ ได้ pop up ขึ้นมาในใจของผม
มธ 6:25-26 25 "เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงพวกมันไว้ พวกมัน มีอาหารทานทุกๆ วันที่มันตื่นมา พระเจ้าบอกกับเรา ว่าขนาดนก พระเจ้ายังดูแลมันอย่างดี พวกเราทุกคน ประเสริฐกว่านก
พระองค์ทรงเป็นบิดาของเรา และเราทั้งหลายเป็นลูกที่รักของพระองค์ ไม่มีใครอีกแล้ว ที่พระบิดาจะรักมากไปกว่าพระเยซู แต่แม้ว่า พระองค์จะรักพระเยซูคริสต์มากแค่ไหน พระองค์ก็ยอม แลกชีวิตพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระบุตรที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด กับพวกเราทุกคน แล้วทำไมพระองค์จะไม่ดูแลเรา พระองค์จะต้องดูแลเราอย่างแน่นอน ขอให้เราเชื่อมั่น เชื่อมั่นในความรักของพระองค์
พระองค์ทรงเป็นบิดาของเรา และเราทั้งหลายเป็นลูกที่รักของพระองค์ ไม่มีใครอีกแล้ว ที่พระบิดาจะรักมากไปกว่าพระเยซู แต่แม้ว่า พระองค์จะรักพระเยซูคริสต์มากแค่ไหน พระองค์ก็ยอม แลกชีวิตพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระบุตรที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด กับพวกเราทุกคน แล้วทำไมพระองค์จะไม่ดูแลเรา พระองค์จะต้องดูแลเราอย่างแน่นอน ขอให้เราเชื่อมั่น เชื่อมั่นในความรักของพระองค์
สิ่งที่เปลี่ยนไปในชีวิตของท่าน หลังจากที่ท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระเจ้าเหนือชีวิตของท่านก็คือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ไม่ว่าสิ่งนั้น จะดูเหมือนดี หรือไม่ดีก็ตาม ที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านั้น ทั้งที่ดูดี และไม่ดี จะหลอมรวมตัวกัน กลายเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของท่านในที่สุด ที่ไหนมีพระเยซูคริสต์ประทับอยู่ ที่นั่นจะมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และวันนี้พระองค์ทรงประทับอยู่ภายในท่านแล้ว ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผมขอจบบทความนี้ด้วย คำพูดประโยคสุดท้ายที่พระเยซูพูดกับมารธา ก่อนที่พระองค์ จะเรียกให้ลาซารัสที่ได้ตายไปแล้ว 4 วัน ได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ยน 11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"
John 11:40 Jesus said to her, "Did I not say to you that if you would believe you would see the glory of God?" (NKJ)
ถ้าวันนี้ท่านเชื่อว่า พระเจ้ารักท่าน และท่านเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ โดยความเชื่อนั้น จะเป็นมือ ที่ยื่นออกไปรับสารพัดพระพร ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับท่าน เชื้อสายของอับราฮัมเอ๋ย ขอให้ท่านทั้งหลาย เดินอยู่ในพระพรของอับราฮัม บิดาของท่านเถิด ขอพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ อวยพระพรท่านด้วยพระพรของอับราฮัม (The Blessing of Abraham) และเฉลยธรรมบัญญัติ 28 เถิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น