ในพระกิตติคุณยอห์น (The Gospel of John) พระเยซูได้ใช้คำว่า "เราเป็น (I Am)" ทั้งหมดหลักๆ 8 ครั้งด้วยกัน โดยที่เจ็ดในแปดครั้ง พระองค์ใช้คำว่า "I Am" ในลักษณะของอุปมา (Metaphorical Statement)
เจ็ดการสำแดง Metaphorical "I Am" Statement ของพระเยซู สอดคล้องคู่ขนานกับสองสิ่งด้วยกัน
1. ลักษณะการประสูติของพระองค์ ที่ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มรวมเข้าด้วยกัน
2. หมายสำคัญการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำในพระกิตติคุณยอห์น
วันนี้เราจะมาศึกษาข้อ 2 ถึงความเกี่ยวข้องของการสำแดง "I Am" ทั้งเจ็ดครั้ง กับเจ็ดหมายสำคัญการอัศจรรย์ที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณยอห์น
ความน่าสนใจของ 7 การสำแดงเชิงอุปมา "I Am" ของพระเยซูคริสต์ อยู่ที่ว่า เมื่อไหร่ ที่คนในบริบทนั้นๆ ในพระคัมภีร์ ได้ปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับพระเยซู และได้เห็นพระองค์ในแง่มุม "I Am" ที่แตกต่างกันไป บุคคลคนนั้น หรือกลุ่มนั้น จะมีประสบการณ์กับหมายสำคัญ และการอัศจรรย์ ที่เกี่ยวข้องกับ "I Am" นั้นๆ ที่พระเยซูได้สำแดงกับพวกเขา
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า การได้เห็นพระเยซู และได้รับการสำแดงจากพระองค์ ในแง่มุมของ "I Am" ต่างๆ ทั้งเจ็ดอย่าง คือ "เหตุ" ในขณะที่หมายสำคัญและการอัศจรรย์ คือ "ผล" ที่เกิดขึ้น เพื่อรับรอง "เหตุ"
สิ่งที่เราผู้เชื่อต้องการที่สุด ในชีวิตการเดินกับพระเจ้า ก็คือ "การสำแดงจากพระเยซู" เราไม่จำเป็นต้องแสวงหา "ผล" แต่ให้เราแสวงหา "เหตุ" ผลจะตามมาเอง อย่าแสวงหาพระพร แต่แสวงหาพระองค์ และโดยพระองค์นั้นแหละ สารพัดพระพรจะหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาในชีวิตของเรา แบบที่เรียกว่า ทุกภาชนะทั้งหมด ที่เรามี ก็ไม่เพียงพอ ที่จะเก็บพระพรเหล่านั้นได้หมด
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่ม แกะรอย Nuggets "I Am" กันเลย
การสำแดงที่ 1:
"เราเป็น" อาหารแห่งชีวิต
"I Am" the Bread of Life
ยน 6:35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย
John 6:35 And Jesus said to them, "I am the bread of life. He who comes to Me shall never hunger, and he who believes in Me shall never thirst. (NKJ)
"เราเป็น" อาหารแห่งชีวิต
"I Am" the Bread of Life
ยน 6:35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย
John 6:35 And Jesus said to them, "I am the bread of life. He who comes to Me shall never hunger, and he who believes in Me shall never thirst. (NKJ)
ในพระธรรมยอห์นบทที่ 6 พระเยซูได้สำแดง ว่าพระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต และในบทเดียวกันนี้เอง พระเยซูใช้ขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เลี้ยงคนห้าพันนับเฉพาะผู้ชาย ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก และยังเหลืออีก 12 กระบุง
เหตุการณ์ในตอนนี้ พระเยซูทรงเห็นฝูงชนต่างหิวกันแล้ว แต่ปัญหา ก็คือ อาหารมีจำกัด ไม่พอที่จะเลี้ยงประชาชนได้หมด ความจำกัด และความไม่พอเพียง คือโจทย์ใหญ่ของเหตุการณ์นี้
เหล่าสาวกบอกกับพระเยซูว่า "ที่นี่มีเด็กคนหนึ่ง มีขนมปังบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้น จะพออะไรกับคนมากมายขนาดนี้" (ยน 6:9) เหล่าสาวกเห็นแต่ปัญหา และความไม่เพียงพอ
เหล่าสาวกบอกกับพระเยซูว่า "ที่นี่มีเด็กคนหนึ่ง มีขนมปังบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้น จะพออะไรกับคนมากมายขนาดนี้" (ยน 6:9) เหล่าสาวกเห็นแต่ปัญหา และความไม่เพียงพอ
พระเยซูทรงให้คนทั้งปวงนั่งลง แล้วพระองค์ก็หยิบขนมปังนั้น เมื่อโมทนาพระคุณแล้ว ก็ทรงแจก พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงให้อาหารแก่พวกเขาตามที่เขาปรารถนา (ยน 6:11) - นั่นหมายความว่า ตราบที่พวกเขายังมีความต้องการ ตราบนั้นอุปทาน (Supply) และการจัดสรร (Provision) จากพระเจ้าก็ไหลมาอย่างไม่จำกัด
หลังจากที่พวกเขาทั้งหลายทานจนอิ่มหนำ เศษอาหารที่เหลืออยู่ มีมากถึง 12 กระบุงเต็ม (ยน 6:13)
พี่น้องที่รัก ถ้าวันนี้ท่านต้องเผชิญหน้ากับความจำกัด ความไม่พอเพียง หรือแม้แต่ความขัดสนในบางด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน, สุขภาพ, การงาน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ อย่ามองไปที่ความจำกัดที่ท่านมี แล้วท้อใจ
ให้วิญญาณจิตของท่าน มองไปที่พระเยซู เห็นพระองค์เป็น "I Am" the Bread of Life ของท่าน เชื่อมั่นในความรัก และความดีที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน เชื่อว่าพระเจ้ารักท่าน พระองค์จะไม่ทอดทิ้งท่าน เวลาที่ท่านต้องการพระองค์ที่สุด คือเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ใกล้ท่านที่สุด เพราะเหตุว่า ความอ่อนแอ [ความจำกัด] มีขึ้นที่ไหน ฤทธิ์เดชของพระเจ้า ก็จะมีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น (2 คร 12:9)
ให้วิญญาณจิตของท่าน มองไปที่พระเยซู เห็นพระองค์เป็น "I Am" the Bread of Life ของท่าน เชื่อมั่นในความรัก และความดีที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน เชื่อว่าพระเจ้ารักท่าน พระองค์จะไม่ทอดทิ้งท่าน เวลาที่ท่านต้องการพระองค์ที่สุด คือเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ใกล้ท่านที่สุด เพราะเหตุว่า ความอ่อนแอ [ความจำกัด] มีขึ้นที่ไหน ฤทธิ์เดชของพระเจ้า ก็จะมีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น (2 คร 12:9)
มอบความจำกัดที่ท่านมี ให้กับพระเจ้า ความจำกัด ความขัดสน และความไม่เพียงพอที่ท่านมี เมื่อมันไปอยู่ในมือของพระเยซูแล้ว มันจะกลายเป็นการจัดสรร (Provision) หรืออุปทาน (Supply) ที่ไร้ความจำกัด
การสำแดงที่ 2:
"เราเป็น" ความสว่างของโลก
"I Am" the Light of the World
รม 6:14 เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ
Rom 6:14 For sin shall not have dominion over you, for you are not under law but under grace. (NKJ)
พี่น้องที่รัก สัจธรรมความจริงข้อหนึ่ง ก็คือ เราคือผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ทันทีที่เราต้องรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เราไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาปอีกต่อไป บาปไม่สามารถจะครอบงำเราได้อีก สิ่งเดียวที่เราต้องทำ ก็คือ "ตื่น" ขึ้นสู่ความชอบธรรม
ผมชอบคำแปลในพระคัมภีร์ฉบับ King James มากกว่าในฉบับภาษาไทย เพราะสื่อสารความหมายได้ดีกว่า คำว่า "Awake" มาจากคำภาษากรีกว่า "eknepho" มีความหมายว่า "สร่างเมา (to return to oneself from drunkenness)" เมื่อไหร่ที่เรา "สร่างเมา" ตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรม เมื่อนั้นชีวิตแห่งความชอบธรรม จะแสดงผลออกมา โดยปราศจากแรงพยายาม เพราะความจริงก็คือ เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว แต่เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์
1คร 15:34 ท่านทั้งหลายจงกลับมาสู่ความชอบธรรมและอย่าทำผิดอีกเลย เพราะว่าบางคนไม่รู้จักพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าว่านี้ก็ให้ท่านมีความละอาย
1 Cor 15:34 Awake to righteousness, and sin not; for some have not the knowledge of God: I speak this to your shame. (KJV)
ถาม: แล้วทำยังไงเราถึงจะตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรม เหมือนอย่างที่อาจารย์เปาโลบอก?
คำเทศนาที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง จึงเป็นคำเทศน์ ที่บริบูรณ์ไปด้วย พระคุณและความจริงของพระเจ้า เพราะทั้งสามเป็นหนึ่ง และในหนึ่งมีสามอยู่ภายใน
สัจจะ (The Truth) ที่จะปลดปล่อยให้คนของพระเจ้าเป็นไท คือสัจจะ ที่เต็มเปี่ยม และบริบูรณ์ไปด้วยงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์ และพระคุณของพระองค์
ยน 8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท"
John 8:32 "And you shall know the truth, and the truth shall make you free." (NKJ)
เมื่อพระเยซูคริสต์ ถูกเทศนาสั่งสอน และผู้เชื่อได้เห็นพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ เมื่อนั้น สัจจะแห่งพระวจนะของพระเจ้า จะปลดปล่อยให้ผู้เชื่อเหล่านั้นเป็นไท และตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรม และนี่คือ ความหมายเนื้อแท้ของสัจธรรมที่อาจารย์เปาโล บอกว่า "บาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะเหตุว่าท่านทั้งหลาย มิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ"
ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เมื่อเรารับพระเยซูคริสต์ และพระคุณของพระองค์เข้ามาในชีวิต คำสาปแช่งเนื่องจากความบาป ไม่มีอีกแล้ว เพราะพระเยซูได้ทรงแบกบาปของเราไว้บนร่างกายของพระองค์ที่บนต้นไม้นั่น (1ปต 2:24) เพื่อที่เราโดยพระองค์ จะได้เป็นผู้ชอบธรรม ความบาป คำแช่งสาปของเรา ได้ถูกถ่ายโอนไปที่พระเยซู พระองค์จึงกลายเป็นบาป ในขณะที่ความชอบธรรมของพระองค์ ได้ถูกถ่ายโอนกลับมาที่เรา ที่บนกางเขน ได้เกิดการแลกเปลี่ยน (Divine Exchange)
2คร 5:21 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์
2 Cor 5:21 For He made Him who knew no sin to be sin for us, that we might become the righteousness of God in Him. (NKJ)
ด้วยเหตุนี้เอง วันนี้ เราจึงไม่ต้องรับในสิ่งที่เราสมควร แต่ได้รับในสิ่งที่พระเยซูสมควร คือพระพรทั้งหลายของพระเจ้า เพราะพระพรอยู่บนศีรษะของผู้ชอบธรรม (สภษ 10:6) ในขณะเดียวกัน พระเยซูได้รับในสิ่งที่เราสมควร คือความตาย และคำแช่งสาป
ในอีกมุมหนึ่ง ชายตาบอดคนนี้ ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดมิด พี่น้องที่รัก ถ้าวันนี้ท่าน อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มืดมิด ต้องการทิศทาง ไม่ว่าจะเรื่องธุรกิจ การงาน อาชีพ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ทิศทางของครอบครัว ท่านไม่รู้ และไม่แน่ใจว่า ทางไหน หรือทิศไหน คือทางที่ท่านควรจะไป ท่านรู้สึก เหมือนเดินอยู่ในความมืดแปดด้าน ท่านตกอยู่ในสภาพที่ไร้ทางออก ทุกอย่างมันดูมืดมิดไปหมด ไปทางซ้ายก็ตัน จะกลับไปทางขวาก็ตันอีกเช่นเคย
เพื่อนสนิท มิตรสหาย หรือคนรู้จัก ต่างประนามและสบประมาทท่าน ว่าคนนี้ ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ เขาทำอะไรก็พลาดตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว เหมือนชายตาบอดคนนี้ ที่ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด ชีวิตก่อนมารู้จักพระเยซู ท่านอาจเป็นคนที่ผิดพลาด ไม่เคยทำอะไรสำเร็จมาก่อน แต่ Not Any More!!! เพราะวันนี้องค์พระเยซูคริสต์ ทรงประทับอยู่ภายในท่าน ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถ้าท่านกำลังอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว สิ่งที่ท่านต้องการ ในวันนี้ ท่ามกลางความมืดมิด ที่ท่านกำลังเผชิญหน้ากับมัน ก็คือ วิญญาณจิตที่ได้เห็นพระเยซูคริสต์ ทรงเป็น "I Am" the Light of the World ของท่าน
เมื่อไหร่ที่พระเยซูทรงปรากฏ เมื่อนั้นปัญหาจะมลายไป เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏพระองค์ต่อหน้าชายตาบอดคนนี้ มันไม่สำคัญว่า ตาเขาจะบอดมานานเท่าไหร่ หรือแม้แต่จะบอดมาตั้งแต่กำเนิด ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเยซู การมองเห็นเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับพระเยซู
ขอให้วันนี้ ท่านมั่นใจ และเชื่อมั่นในความรัก และความดีของพระเจ้าที่มีต่อท่าน โดยความเชื่อ และความมั่นใจในความดีของพระเจ้านัันเอง พระเยซู จะทรงสำแดงแก่ท่านว่า พระองค์ทรงเป็น "I Am" the Light of the World แล้วความสว่างที่ท่านต้องการ จะปรากฏแก่ท่าน แสงสว่างของพระองค์ จะนำท่านออกจากความมืดมิด
ยน 1:4-5 4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่
โปรดติดตามการสำแดง "I Am" ของพระเยซู ที่เข้มข้นขึ้นอีก ในตอนต่อไปนะครับ...
"เราเป็น" ความสว่างของโลก
"I Am" the Light of the World
ยน 8:12 อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"
John 8:12 Then Jesus spoke to them again, saying, "I am the light of the world. He who follows Me shall not walk in darkness, but have the light of life." (NKJ)
พระธรรมยอห์นบทที่ 8 พระเยซูได้สำแดงว่า พระองค์เป็นความสว่างของโลก "I Am" the Light of the World ในข้อแรก ของบทถัดมา พระองค์ได้รักษาคนตาบอดแต่กำเนิด ชายคนนี้ เกิดมาก็ไม่เคยได้เห็นเดือน เห็นตะวันกับเขา [จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ ยังเป็นภาพสัญลักษณ์ ไว้ในโอกาสต่อๆ ไป ผมจะกลับมาเขียนถึงเรื่องนี้อีกครั้ง อธิบายภาพสัญลักษณ์นะครับ]
เมื่อเห็นชายตาบอดคนนี้ พวกสาวกทูลถามพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้ หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด" (ยน 9:2)
หลายต่อหลายครั้ง เวลาที่ผู้เชื่อต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหา และความท้าทายต่างๆ ในชีวิต ผู้เชื่อหลายคน มัวแต่พุ่งความสนใจไปที่ความบาป (Sin Consciousness) ว่า เราต้องทำผิดบาปอะไรแน่ๆ เลย สิ่งไม่ดีเหล่านี้ และเหล่านั้น ถึงได้เกิดขึ้นกับเรา
บางคนไปไกลกว่านั้น เริ่มโยนความผิด และโทษคนอื่น ว่าที่เขาต้องเผชิญกับปัญหา และความยากลำบาก ก็เพราะเหตุความผิดบาปของผู้อื่น ที่ส่งผลลบมาถึงพวกเขา เหมือนที่เหล่าสาวกถามพระเยซูว่า "ใครทำผิดบาป บิดา หรือของมารดาของเขา??"
บางคนไปไกลกว่านั้น เริ่มโยนความผิด และโทษคนอื่น ว่าที่เขาต้องเผชิญกับปัญหา และความยากลำบาก ก็เพราะเหตุความผิดบาปของผู้อื่น ที่ส่งผลลบมาถึงพวกเขา เหมือนที่เหล่าสาวกถามพระเยซูว่า "ใครทำผิดบาป บิดา หรือของมารดาของเขา??"
ผมชอบสิ่งที่พระเยซูบตอบเหล่าสาวก พระเยซูตรัสตอบพวกสาวกว่า "มิใช่ชายคนนี้ บิดา หรือมารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ปรากฏในตัวเขา" (ยน 9:3)
พระเจ้าไม่ต้องการให้เรา "Sin" Conscious แต่ "Son" Conscious
ก่อนพระเยซูเสด็จมา โลกเต็มไปด้วยความบาป ถ้าต้องรอให้ไม่มีบาป พระเยซูคงไม่ได้เสด็จมา ผมไม่ได้สนับสนุน และก็ไม่ได้บอกว่า ความบาปเป็นสิ่งถูกต้อง ตรงกันข้าม บาปส่งผลเลวร้ายเสมอในทุกกรณี ผลของความบาป สร้างความเสียหาย และความเจ็บปวด แก่ตัวคนทำบาป และคนรอบข้างเสมอ ไม่ว่าจะด้านร่างกาย จิตใจ หรือแม้แต่จิตวิญญาณ
ประเด็นที่ผมกำลังจะบอก ก็คือ พระเจ้าเกลียดชังความบาป แต่พระเจ้ารักเราที่เป็นคนบาป ผลของความบาปนั้นเลวร้าย และรุนแรงเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูบนไม้กางเขน คือ ความร้ายแรงอันเป็นผลมาจากความบาปของพวกเรา
แต่ความจริง ข้อหนึ่งที่เราต้องไม่ลืม ก็คือ พระคุณของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง เหนือกว่าความบาปของเราเสมอ เมื่อโลกถูกปกคลุม และมืดมิดไปด้วยความบาป พระคุณพระเจ้าเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในความมืด พระเยซูเสด็จมา ด้วยพระคุณอันไพบูลย์ ไม่มีที่ไหน ที่พระคุณพระเจ้าไปไม่ถึง ไม่มีความมืดมิดไหน จะมืดมิดเกินกว่า ความสว่างของพระเจ้าจะส่องไปถึง
พระเจ้าตรัสในพระธรรมโรม ผ่านอาจารย์เปาโลว่า "ที่ไหนมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั่นพระคุณจะไพบูลย์มากยิ่งกว่าความบาปนั้น"
รม 5:20 เมื่อมีธรรมบัญญัติ ก็ทำให้มีการละเมิดธรรมบัญญัติปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น
Rom 5:20 Moreover the law entered that the offense might abound. But where sin abounded, grace abounded much more, (NKJ)
ไม่มีคริสเตียนผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่แล้วคนนั้น ชอบ และมีความสุขอยู่ในความบาป เพราะมันฝืนธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ไว้ใน "ชีวิตใหม่" ของพวกเขา ที่เขาได้รับ หลังจากที่ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
อาจมีบางช่วงเวลา ที่พวกเขาถูกหลอกความคิด และตกสู่บาป แต่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขารู้ดีว่า สิ่งนั้น คือ บาป และพวกเขาอยากจะหลุดออกมาจากความบาปนั้น แต่เหมือนราวกับว่า พวกเขาจะไร้เรี่ยวแรง และขาดพลัง
ข่าวดีสำหรับวันนี้ก็คือ พระคุณพระเจ้ามาเคาะที่ประตูของท่านแล้ว
ถ้าวันนี้มีสิ่งที่เป็นจุดอ่อน หรือเป็นความอ่อนแอในชีวิตของท่าน ที่ท่านโดยกำลัง และความตั้งใจพยายามต่อสู้กับมันมาตลอด แต่จนแล้วจนรอด ท่านก็ล้มเหลว ครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดมา จนท่านรู้สึกหมดกำลัง และอ่อนล้า วันนี้พระเจ้า โดยพระคุณอันไพบูลย์ และความรักอันมั่นคงของพระองค์ ได้ส่องเข้ามาหาท่านแล้ว
อย่าไปจดจ่อที่ความบาป แต่ให้จดจ่อที่พระเยซู Shift the focus from "Sin" to "Jesus" - Don't be "Sin" Conscious but "Son" Conscious
ยิ่งเราพยายามตั้งใจ (Will Power) มากเท่าไหร่ และใช้แรงพยายาม (Self Effort) ในการต่อสู้กับความบาปมากเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้ว เรากลับทำบาปมากขึ้นกว่าเดิม ความพยายามเหมือนจะทำให้เราฮึดอยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่ง พอถึงจุดหนึ่ง เราจะแตก และทำบาปมากขึ้นกว่าเดิม
วิธีชนะความบาป ก็คือ การรับเอาพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า เข้ามาในชีวิต พระคัมภีร์ สอนเราว่า โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้เราชนะความบาปได้ และบาปจะไม่สามารถครอบงำ เราได้อีกต่อไป เมื่อเราอยู่ใต้พระคุณ มิใช่ใต้ธรรมบัญญัติ คนที่รับเอาพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตมากขึ้น และก็มากขึ้นเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็คือ ความบาป เริ่มหมดฤทธิ์อำนาจเหนือเขาและเธอ
ก่อนพระเยซูเสด็จมา โลกเต็มไปด้วยความบาป ถ้าต้องรอให้ไม่มีบาป พระเยซูคงไม่ได้เสด็จมา ผมไม่ได้สนับสนุน และก็ไม่ได้บอกว่า ความบาปเป็นสิ่งถูกต้อง ตรงกันข้าม บาปส่งผลเลวร้ายเสมอในทุกกรณี ผลของความบาป สร้างความเสียหาย และความเจ็บปวด แก่ตัวคนทำบาป และคนรอบข้างเสมอ ไม่ว่าจะด้านร่างกาย จิตใจ หรือแม้แต่จิตวิญญาณ
ประเด็นที่ผมกำลังจะบอก ก็คือ พระเจ้าเกลียดชังความบาป แต่พระเจ้ารักเราที่เป็นคนบาป ผลของความบาปนั้นเลวร้าย และรุนแรงเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูบนไม้กางเขน คือ ความร้ายแรงอันเป็นผลมาจากความบาปของพวกเรา
แต่ความจริง ข้อหนึ่งที่เราต้องไม่ลืม ก็คือ พระคุณของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง เหนือกว่าความบาปของเราเสมอ เมื่อโลกถูกปกคลุม และมืดมิดไปด้วยความบาป พระคุณพระเจ้าเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในความมืด พระเยซูเสด็จมา ด้วยพระคุณอันไพบูลย์ ไม่มีที่ไหน ที่พระคุณพระเจ้าไปไม่ถึง ไม่มีความมืดมิดไหน จะมืดมิดเกินกว่า ความสว่างของพระเจ้าจะส่องไปถึง
พระเจ้าตรัสในพระธรรมโรม ผ่านอาจารย์เปาโลว่า "ที่ไหนมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั่นพระคุณจะไพบูลย์มากยิ่งกว่าความบาปนั้น"
รม 5:20 เมื่อมีธรรมบัญญัติ ก็ทำให้มีการละเมิดธรรมบัญญัติปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น
Rom 5:20 Moreover the law entered that the offense might abound. But where sin abounded, grace abounded much more, (NKJ)
ไม่มีคริสเตียนผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่แล้วคนนั้น ชอบ และมีความสุขอยู่ในความบาป เพราะมันฝืนธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ไว้ใน "ชีวิตใหม่" ของพวกเขา ที่เขาได้รับ หลังจากที่ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
อาจมีบางช่วงเวลา ที่พวกเขาถูกหลอกความคิด และตกสู่บาป แต่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขารู้ดีว่า สิ่งนั้น คือ บาป และพวกเขาอยากจะหลุดออกมาจากความบาปนั้น แต่เหมือนราวกับว่า พวกเขาจะไร้เรี่ยวแรง และขาดพลัง
ข่าวดีสำหรับวันนี้ก็คือ พระคุณพระเจ้ามาเคาะที่ประตูของท่านแล้ว
ถ้าวันนี้มีสิ่งที่เป็นจุดอ่อน หรือเป็นความอ่อนแอในชีวิตของท่าน ที่ท่านโดยกำลัง และความตั้งใจพยายามต่อสู้กับมันมาตลอด แต่จนแล้วจนรอด ท่านก็ล้มเหลว ครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดมา จนท่านรู้สึกหมดกำลัง และอ่อนล้า วันนี้พระเจ้า โดยพระคุณอันไพบูลย์ และความรักอันมั่นคงของพระองค์ ได้ส่องเข้ามาหาท่านแล้ว
อย่าไปจดจ่อที่ความบาป แต่ให้จดจ่อที่พระเยซู Shift the focus from "Sin" to "Jesus" - Don't be "Sin" Conscious but "Son" Conscious
ยิ่งเราพยายามตั้งใจ (Will Power) มากเท่าไหร่ และใช้แรงพยายาม (Self Effort) ในการต่อสู้กับความบาปมากเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้ว เรากลับทำบาปมากขึ้นกว่าเดิม ความพยายามเหมือนจะทำให้เราฮึดอยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่ง พอถึงจุดหนึ่ง เราจะแตก และทำบาปมากขึ้นกว่าเดิม
วิธีชนะความบาป ก็คือ การรับเอาพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า เข้ามาในชีวิต พระคัมภีร์ สอนเราว่า โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้เราชนะความบาปได้ และบาปจะไม่สามารถครอบงำ เราได้อีกต่อไป เมื่อเราอยู่ใต้พระคุณ มิใช่ใต้ธรรมบัญญัติ คนที่รับเอาพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตมากขึ้น และก็มากขึ้นเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็คือ ความบาป เริ่มหมดฤทธิ์อำนาจเหนือเขาและเธอ
รม 6:14 เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ
Rom 6:14 For sin shall not have dominion over you, for you are not under law but under grace. (NKJ)
พี่น้องที่รัก สัจธรรมความจริงข้อหนึ่ง ก็คือ เราคือผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ทันทีที่เราต้องรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เราไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาปอีกต่อไป บาปไม่สามารถจะครอบงำเราได้อีก สิ่งเดียวที่เราต้องทำ ก็คือ "ตื่น" ขึ้นสู่ความชอบธรรม
ผมชอบคำแปลในพระคัมภีร์ฉบับ King James มากกว่าในฉบับภาษาไทย เพราะสื่อสารความหมายได้ดีกว่า คำว่า "Awake" มาจากคำภาษากรีกว่า "eknepho" มีความหมายว่า "สร่างเมา (to return to oneself from drunkenness)" เมื่อไหร่ที่เรา "สร่างเมา" ตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรม เมื่อนั้นชีวิตแห่งความชอบธรรม จะแสดงผลออกมา โดยปราศจากแรงพยายาม เพราะความจริงก็คือ เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว แต่เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์
1คร 15:34 ท่านทั้งหลายจงกลับมาสู่ความชอบธรรมและอย่าทำผิดอีกเลย เพราะว่าบางคนไม่รู้จักพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าว่านี้ก็ให้ท่านมีความละอาย
1 Cor 15:34 Awake to righteousness, and sin not; for some have not the knowledge of God: I speak this to your shame. (KJV)
ถาม: แล้วทำยังไงเราถึงจะตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรม เหมือนอย่างที่อาจารย์เปาโลบอก?
ตอบ: รับเอาพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้าเข้ามา
พระคุณไม่ใช่คำสอน ไม่ใช่หลักศาสนาศาสตร์ชั้นสูง แต่พระคุณ คือ "องค์พระเยซูคริสต์"
พระคุณไม่ใช่คำสอน ไม่ใช่หลักศาสนาศาสตร์ชั้นสูง แต่พระคุณ คือ "องค์พระเยซูคริสต์"
ยน 1:14-17 14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา 15 ยอห์นได้เป็นพยานให้แก่พระองค์ และร้องประกาศว่า ''นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่า พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า" 16 และเราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ 17 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์
John 1:14-17 14 And the Word became flesh and dwelt among us, and we beheld His glory, the glory as of the only begotten of the Father, full of grace and truth. 15 John bore witness of Him and cried out, saying, "This was He of whom I said, 'He who comes after me is preferred before me, for He was before me.'" 16 And of His fullness we have all received, and grace for grace. 17 For the law was given through Moses, but grace and truth came through Jesus Christ. (NKJ)
John 1:14-17 14 And the Word became flesh and dwelt among us, and we beheld His glory, the glory as of the only begotten of the Father, full of grace and truth. 15 John bore witness of Him and cried out, saying, "This was He of whom I said, 'He who comes after me is preferred before me, for He was before me.'" 16 And of His fullness we have all received, and grace for grace. 17 For the law was given through Moses, but grace and truth came through Jesus Christ. (NKJ)
พระธรรมยอห์นบทที่ 1 พูดไว้อย่างชัดเจน ว่าพระวาทะที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือ องค์พระเยซูคริสต์ บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง ข้อ 16 ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ผ่านองค์พระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายได้รับพระคุณซ้อนพระคุณ (Grace for Grace)
ในข้อ 17 อาจารย์ยอห์นได้กล่าวและแสดงภาพเปรียบเทียบ สองภาพให้เราได้เห็น ภาพแรกคือภาพของโมเสส และภาพที่สอง คือภาพของพระเยซู
ตลอดเล่มพระคัมภีร์ทั้งสองพันธสัญญา ภาพที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่าง (Compare and Contrast) มากที่สุดภาพหนึ่ง ก็คงหนีไม่พ้น ภาพของโมเสส และองค์พระเยซูคริสต์ ตอนที่ทั้งคู่เกิด ผู้มีอำนาจฝ่ายบ้านเมือง ก็หมายเอาชีวิตทั้งคู่ มีการประหารทารก เหตุการณ์เหมือนจะ Dejavu อย่างไงอย่างงั้น
ข้อ 17 คือ ภาพ Compare and Contrast ฝั่งแรกมีธรรมบัญญัติ กับโมเสส ฝั่งที่สองมี พระคุณ + ความจริง กับพระเยซูคริสต์
ดังนั้นจากพระธรรมยอห์น 1 ข้อ 14-17 เราสามารถเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
โมเสส (Moses) = ธรรมบัญญัติ (the Law)
พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) = พระคุณ (Grace) และความจริง (Truth)
พระวาทะ (The Word) = พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)
ข้อพึงสังเกต:
1. พระคุณ+ความจริง ในภาษากรีก สื่อความหมายว่า ถึงสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่สองสิ่งที่แตกต่าง เพราะกิริยา "came หรือที่ภาษาไทยแปลว่า มา" ในภาษากรีก เป็นกิริยาที่แสดงความเป็นเอกพจน์ (สิ่งเดียวกัน)
2. ข้อ 17 พระเจ้าจัดลำดับ เอาพระคุณขึ้นก่อนความจริง - พระคุณและความจริง (Grace and Truth) พระวจนะของพระเจ้า คือความจริง (ยน 17:17) แต่ความจริงแห่งพระวจนะ จะสำแดงเดชได้อย่างเต็มที่ เมื่อความจริงแห่งพระวจนะนั้น เต็มเปี่ยมและบริบูรณ์ไปด้วยพระคุณของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง
ดังนั้นจากพระธรรมยอห์น 1 ข้อ 14-17 เราสามารถเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
โมเสส (Moses) = ธรรมบัญญัติ (the Law)
พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) = พระคุณ (Grace) และความจริง (Truth)
พระวาทะ (The Word) = พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)
ข้อพึงสังเกต:
1. พระคุณ+ความจริง ในภาษากรีก สื่อความหมายว่า ถึงสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่สองสิ่งที่แตกต่าง เพราะกิริยา "came หรือที่ภาษาไทยแปลว่า มา" ในภาษากรีก เป็นกิริยาที่แสดงความเป็นเอกพจน์ (สิ่งเดียวกัน)
2. ข้อ 17 พระเจ้าจัดลำดับ เอาพระคุณขึ้นก่อนความจริง - พระคุณและความจริง (Grace and Truth) พระวจนะของพระเจ้า คือความจริง (ยน 17:17) แต่ความจริงแห่งพระวจนะ จะสำแดงเดชได้อย่างเต็มที่ เมื่อความจริงแห่งพระวจนะนั้น เต็มเปี่ยมและบริบูรณ์ไปด้วยพระคุณของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง
คำเทศนาที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง จึงเป็นคำเทศน์ ที่บริบูรณ์ไปด้วย พระคุณและความจริงของพระเจ้า เพราะทั้งสามเป็นหนึ่ง และในหนึ่งมีสามอยู่ภายใน
สัจจะ (The Truth) ที่จะปลดปล่อยให้คนของพระเจ้าเป็นไท คือสัจจะ ที่เต็มเปี่ยม และบริบูรณ์ไปด้วยงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์ และพระคุณของพระองค์
ยน 8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท"
John 8:32 "And you shall know the truth, and the truth shall make you free." (NKJ)
เมื่อพระเยซูคริสต์ ถูกเทศนาสั่งสอน และผู้เชื่อได้เห็นพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ เมื่อนั้น สัจจะแห่งพระวจนะของพระเจ้า จะปลดปล่อยให้ผู้เชื่อเหล่านั้นเป็นไท และตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรม และนี่คือ ความหมายเนื้อแท้ของสัจธรรมที่อาจารย์เปาโล บอกว่า "บาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะเหตุว่าท่านทั้งหลาย มิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ"
ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เมื่อเรารับพระเยซูคริสต์ และพระคุณของพระองค์เข้ามาในชีวิต คำสาปแช่งเนื่องจากความบาป ไม่มีอีกแล้ว เพราะพระเยซูได้ทรงแบกบาปของเราไว้บนร่างกายของพระองค์ที่บนต้นไม้นั่น (1ปต 2:24) เพื่อที่เราโดยพระองค์ จะได้เป็นผู้ชอบธรรม ความบาป คำแช่งสาปของเรา ได้ถูกถ่ายโอนไปที่พระเยซู พระองค์จึงกลายเป็นบาป ในขณะที่ความชอบธรรมของพระองค์ ได้ถูกถ่ายโอนกลับมาที่เรา ที่บนกางเขน ได้เกิดการแลกเปลี่ยน (Divine Exchange)
กท 3:13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง)
Gal 3:13 Christ has redeemed us from the curse of the law, having become a curse for us (for it is written, "Cursed is everyone who hangs on a tree"), (NKJ)
2คร 5:21 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์
2 Cor 5:21 For He made Him who knew no sin to be sin for us, that we might become the righteousness of God in Him. (NKJ)
ด้วยเหตุนี้เอง วันนี้ เราจึงไม่ต้องรับในสิ่งที่เราสมควร แต่ได้รับในสิ่งที่พระเยซูสมควร คือพระพรทั้งหลายของพระเจ้า เพราะพระพรอยู่บนศีรษะของผู้ชอบธรรม (สภษ 10:6) ในขณะเดียวกัน พระเยซูได้รับในสิ่งที่เราสมควร คือความตาย และคำแช่งสาป
คำแช่งสาป การปรักปรำจึงไม่มีอีกต่อไป สำหรับเราทั้งหลาย ที่อยู่ในพระคริสต์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าที่เราจะไปขุดคุ้ยฟื้นฝอยหาตะเข็บว่า บาปของใคร ของบิดา มารดา อากง หรืออาม่าของเขา?? จะบาปของใครก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนไม่ดี และเลวร้าย อย่างในตอนนี้ คือดวงตา ที่บอดแต่กำเนิดของชายคนนี้ มีเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ปรากฏ (ยน 9:3)
ในอีกมุมหนึ่ง ชายตาบอดคนนี้ ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดมิด พี่น้องที่รัก ถ้าวันนี้ท่าน อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มืดมิด ต้องการทิศทาง ไม่ว่าจะเรื่องธุรกิจ การงาน อาชีพ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ทิศทางของครอบครัว ท่านไม่รู้ และไม่แน่ใจว่า ทางไหน หรือทิศไหน คือทางที่ท่านควรจะไป ท่านรู้สึก เหมือนเดินอยู่ในความมืดแปดด้าน ท่านตกอยู่ในสภาพที่ไร้ทางออก ทุกอย่างมันดูมืดมิดไปหมด ไปทางซ้ายก็ตัน จะกลับไปทางขวาก็ตันอีกเช่นเคย
เพื่อนสนิท มิตรสหาย หรือคนรู้จัก ต่างประนามและสบประมาทท่าน ว่าคนนี้ ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ เขาทำอะไรก็พลาดตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว เหมือนชายตาบอดคนนี้ ที่ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด ชีวิตก่อนมารู้จักพระเยซู ท่านอาจเป็นคนที่ผิดพลาด ไม่เคยทำอะไรสำเร็จมาก่อน แต่ Not Any More!!! เพราะวันนี้องค์พระเยซูคริสต์ ทรงประทับอยู่ภายในท่าน ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถ้าท่านกำลังอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว สิ่งที่ท่านต้องการ ในวันนี้ ท่ามกลางความมืดมิด ที่ท่านกำลังเผชิญหน้ากับมัน ก็คือ วิญญาณจิตที่ได้เห็นพระเยซูคริสต์ ทรงเป็น "I Am" the Light of the World ของท่าน
เมื่อไหร่ที่พระเยซูทรงปรากฏ เมื่อนั้นปัญหาจะมลายไป เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏพระองค์ต่อหน้าชายตาบอดคนนี้ มันไม่สำคัญว่า ตาเขาจะบอดมานานเท่าไหร่ หรือแม้แต่จะบอดมาตั้งแต่กำเนิด ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระเยซู การมองเห็นเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้ปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับพระเยซู
ขอให้วันนี้ ท่านมั่นใจ และเชื่อมั่นในความรัก และความดีของพระเจ้าที่มีต่อท่าน โดยความเชื่อ และความมั่นใจในความดีของพระเจ้านัันเอง พระเยซู จะทรงสำแดงแก่ท่านว่า พระองค์ทรงเป็น "I Am" the Light of the World แล้วความสว่างที่ท่านต้องการ จะปรากฏแก่ท่าน แสงสว่างของพระองค์ จะนำท่านออกจากความมืดมิด
ยน 1:4-5 4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่
โปรดติดตามการสำแดง "I Am" ของพระเยซู ที่เข้มข้นขึ้นอีก ในตอนต่อไปนะครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น