วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Samson and the Seven Locks of Hair, Part 2 Samson and the Jawbone


เรื่องราวของแซมสัน มีภาพสัญลักษณ์ (Typologies) ที่น่าสนใจหลักๆ อยู่ 4 + 1 ภาพ โดยที่ 4 ภาพแรก เป็นภาพสัญลักษณ์เล็งถึง พระเยซูคริสต์ ในขณะที่ หนึ่งภาพสุดท้าย เป็นภาพสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับพวกเรา ในบทความนี้ เราจะมาร่วมกันแกะรอย และถอดความหมาย หนึ่งในสี่ภาพสัญลักษณ์แรกกัน ภาพที่เราจะถอดความหมายกันในวันนี้ ก็คือ ภาพของกระดูกขาตะไกรลา (A Jawbone of a Donkey) ผมขอตั้งชื่อบทความนี้ว่า แซมสัน กับกระดูกขาตะไกร (Samson and the Jawbone)



เรื่องราวของแซมสันกับกระดูกขาตะไกรลา ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ผู้วินิจฉัยบทที่ 15 ข้อ 9 - 20 เหตุการณ์ตอนนี้ เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่อง จากเหตุการณ์ที่แซมสันบันดาลโทสะ จับสุนัขจิ้งจอกสามร้อยตัว ผูกหางติดกันเป็นคู่ๆ แล้วเอาคบเพลิงผูกติดไว้ และปล่อยสุนัขจิ้งจอกเข้าไปในที่นาของคนฟีลิสเตีย ทำให้เกิดไฟไหม้ใหญ่ เผาที่นา รวมถึงสวนมะกอกเทศของคนฟีลิสเตียจนวอดวายหมด อันเนื่องจากที่พ่อตาของแซมสัน เอาภรรยาของแซมสันไปยกให้กับคนอื่น

คนฟีลิสเตียจึงรวมกัน ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ในเขตยูดาห์ และกระจายกันเข้าโจมตีเมืองเลฮี (Lehi) ที่พำนักของคนยูดาห์ คนยูดาห์จึงถามคนฟีลิสเตียว่า "ท่านทั้งหลายขึ้นมารบกับเราทำไม?" คนฟีลิสเตียตอบคนยูดาห์ว่า "พวกเขามา เพื่อที่จะจับตัวแซมสัน ไปลงโทษ"

เหตุการณ์ต่อจากเหตุการณ์นี้ เป็นภาพสัญลักษณ์ (Typology) ที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ให้เรามาเริ่มถอดความหมายภาพสัญลักษณ์นี้กันเลย

ภาพของคนฟีลิสเตีย ที่มาจับตัวแซมสัน เล็งถึง อาณาจักรแห่งความมืดที่หมายทำร้ายพระเยซูคริสต์ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาครั้งแรก เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว

วนฉ 15:12 คนเหล่านั้นจึงพูดกับแซมสันว่า "เราจะลงมามัดท่านเพื่อมอบท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย" แซมสันจึงบอกเขาว่า "ขอสาบานให้ซี ว่าพวกท่านเองจะไม่ทำร้ายข้าพเจ้า"

คนยูดาห์มัด และส่งมอบแซมสัน ให้กับคนฟีลิสเตีย โดยไม่ได้ทำร้ายอะไรแซมสัน สะท้อนภาพที่คนยิว มอบพระเยซูให้กับคนโรมัน ยิวไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าพระเยซู แต่ให้คนโรมันเป็นคนลงมือ

วนฉ 15:13 เขาทั้งหลายจึงตอบท่านว่า "เราจะไม่ทำร้ายท่าน เราจะมัดท่านมอบไว้ในมือของเขาเท่านั้น เราจะไม่ฆ่าท่านเสีย" เขาจึงเอาเชือกพวนใหญ่สองเส้นมัดแซมสันไว้ และพาขึ้นมาจากศิลานั้น


จริงๆ แล้ว แซมสันไม่ได้ถูกมัดด้วยเชือกพวนสองเส้นใหญ่นี้ เนื่องจากด้วยพลกำลังของแซมสัน เขาสามารถจะฉีกเชือกพวนสองเส้นนี้ ได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ ภาพของแซมสัน ที่ถูกมัดด้วยเชือกพวนใหญ่สองเส้น เป็นภาพสัญลักษณ์เล็งถึงพระเยซู ที่พระองค์ไม่ได้ถูกคนยิว หรือแม้แต่คนโรมันจับ แต่พระองค์เองยอมจำนน ด้วยใจสมัคร

ครั้นเมื่อยูดาสนำคนมาจับกุมตัวพระเยซู เปโตรได้ชักดาบออกฟันหูทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตประจำการขาด พระเยซูได้รักษาทาสคนนั้น และบอกกับเปโตร และเหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์สามารถขอพระบิดาส่งทูตสวรรค์ สิบสองกอง มาป้องกันพระองค์ แต่พระองค์ไม่ทำเช่นนั้น เพราะพระองค์ต้องการให้คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์สำเร็จเป็นจริง

มธ 26:53-54 53 ท่านคิดว่าเราจะขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ และในครู่เดียวพระองค์จะประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกอง 54 แต่ถ้าเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร"



ผ่านเหตุการณ์นี้ เราได้เห็นถึงหัวใจของพระเยซู ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ในยามที่พระองค์กำลังตกอยู่ในอันตราย  ขณะที่เขานำกำลังคนมาจับกุมพระองค์ พระเยซูรู้ว่า พระองค์จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง แต่ด้วยที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อุดมไปด้วยความรัก พระองค์ทรงห่วงใยทาสของมหาปุโรหิตประจำการ พระองค์ทรงรักษาหูให้กับเขา พี่น้องที่รัก นี่แหละ หัวใจของพระเยซู พระเจ้าที่เราเชื่อ และติดตามพระองค์



อีกครั้งหนึ่ง ปีลาตบอกกับพระเยซูว่า เขามีอำนาจที่จะปล่อยตัวพระองค์ได้ พระเยซูตรัสตอบปีลาตว่า ปีลาตไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ แต่พระองค์ยอมให้พวกเขาจับด้วยความสมัครใจ



ยน 19:10-11 10 ปีลาตจึงทูลพระองค์ว่า "ท่านจะไม่พูดกับเราหรือ ท่านไม่รู้หรือว่าเรามีอำนาจที่จะปล่อยท่าน และมีอำนาจที่จะตรึงท่านที่กางเขนได้" 11 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า "ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้นผู้ที่อายัดเราไว้กับท่าน จึงมีความผิดมากกว่าท่าน"

พระคัมภีร์ผู้วินิจฉัยบทที่ 15 ข้อ 13 กล่าวว่า คนยูดาห์มัดแซมสันด้วย เชือกพวนสองเส้นใหญ่ เชือกสองเส้นใหญ่ที่มัดพระเยซูไว้ หนึ่งคือความรักที่พระองค์มีต่อพระบิดา และอีกหนึ่งคือความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา พระเจ้ารักเรา รักเรามาก รักเราเสมอมา สาเหตุเดียว ที่พระเยซูเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพื่อไถ่บาปให้กับเรา พระองค์ยอมแลกชีวิตของพระองค์ กับชีวิตของเรา ถ้าชีวิตของพระองค์ พระองค์ก็มิได้หวงไว้จากเรา ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว จะมีสิ่งดีอื่นใดอีกหรือ ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของพระองค์ ที่พระองค์จะเก็บซ่อนไว้จากเรา

(หากเพื่อนๆ พี่น้อง ยังไม่เคยอ่านบทความเรื่อง เกิดอะไรขึ้นที่สวนเกทเสมนี ผมได้อธิบายความหมายของภาพสัญลักษณ์ทาสคนฮีบรู ในพระคัมภีร์ อพยพบทที่ 21 ข้อ 2-6 เอาไว้ เชื่อว่าพี่น้องจะได้รับพระพรอย่างมาก ผ่านบทความดังกล่าว ลองไปอ่านดูนะครับ จะเป็นส่วนขยายของภาพสัญลักษณ์เชือกพวนสองเส้นใหญ่ นี้ได้เป็นอย่างดี)

ถ้าวันนี้ท่านกำลังเผชิญหน้า กับอุปสรรค ปัญหา หรือแม้แต่ความท้าทายบางอย่าง และท่านกำลังร้องทูล ขอการช่วยกู้ที่มาจากพระเจ้า ขอให้ท่านมั่นใจ เชื่อมั่นในความดี ความสัตย์ซื่อ และความรักที่พระเจ้ามีต่อท่าน พระองค์ไม่เคยมาสาย พระองค์จะทรงช่วยเหลือท่านอย่างแน่นอน แม้แต่ทาสของมหาปุโรหิตประจำการ ที่มาจับพระองค์ มุ่งร้าย หมายเอาชีวิตพระองค์ พระองค์ยังทรงรัก และรักษาเขา พวกเราผู้เชื่อในพระองค์ พระองค์จะไม่ยิ่งช่วยเหลือเราหรอกหรือ

วนฉ 15:14 เมื่อเขาไปถึงเลฮีคนฟีลิสเตียก็ร้องอึกทึกมาพบเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สิงสถิตกับแซมสันอย่างมาก เชือกพวนที่ผูกแขนของท่านก็เป็นประดุจป่านที่ไหม้ไฟ เครื่องจำจองนั้นก็หลุดออกจากมือ

ต่อหน้าคนฟีลิสเตีย แซมสันที่ถูกมัดด้วยเชือกพวนใหญ่สองเส้น ดูอ่อนแอ และไร้ทางต่อสู้ ในเวลาที่แซมสันดูอ่อนแอที่สุด กลับกลายเป็นห้วงเวลาแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แซมสันได้สังหารคนฟีลิสเตียหนึ่งพันคนในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับพระเยซูที่กลโกธา บนไม้กางเขน เวลาที่พระองค์ดูอ่อนแอ ไร้ทางต่อสู้ และพ่ายแพ้ที่สุด ในห้วงเวลานั้นเอง กลับกลายเป็นห้วงเวลาแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงปลดปล่อย และกู้มนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากอำนาจของความบาป และอาณาจักรแห่งความมืด มารซาตานถูกปลดอำนาจสิ้น ผ่านงานที่สำเร็จแล้วของพระองค์บนไม้กางเขน สิทธิอำนาจ ที่มารซาตานใช้เล่ห์เหลี่ยมขโมยไปจากมนุษย์ในสมัยปฐมกาล ได้คืนกลับมาที่พระเยซู ในฐานะตัวแทนของมนุษย์ชาติ เพราะพระองค์ คือ อาดัมสุดท้าย

"The hour of His greatest seeming weakness proved to be the hour of His greatest victory."

พี่น้องที่รักทั้งหลาย อย่าท้อแท้ และหมดกำลังใจ ผู้ที่หวังใจในพระเจ้า จะไม่เคยพบกับความผิดหวังเลย หลายต่อหลายครั้ง ที่ชีวิตของเรา ต้องเผชิญหน้า กับช่วงเวลาที่ดูเหมือนตกต่ำ และไร้ทางออก ไม่ว่าจะด้านอาชีพการงาน ครอบครัว หรืออะไรก็ตาม ตราบที่ท่าน ยังยึดพระเจ้าไว้ และหวังใจในพระองค์ พระเจ้าของเรา ทรงฤทธิ์อาจ เปลี่ยนสถานการณ์ ที่ดูเหมือนย่ำแย่ และเลวร้ายที่สุด ให้เป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่กับเราได้ อย่ามัวเสียเวลาจดจ่ออยู่กับปัญหา แต่ให้เรามองไปที่พระเจ้า มองไปที่ความดี ความสัตย์ซื่อ และความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา เชื่อมั่นในความดีของพระองค์ เพราะสิ่งดีดี จะเกิดขึ้นเสมอๆ กับคนที่เชื่อว่า พระเจ้ารักเขาและเธอ

ในพระเจ้าไม่มีคำว่า ทางตัน (Dead End) ทะเลแดงที่ขวางอยู่ตรงหน้า พระเจ้าก็สามารถเปิดออก ให้เราเดินข้ามไปได้ พี่น้องที่รักทุกท่าน หลายต่อหลายครั้ง ช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดของเรา มันคือ จุดเริ่มต้นของพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของโยเซฟ ในคุก ที่เป็นเหมือน Dead End พระเจ้าสามารถเปลี่ยนให้มันเป็น Springboard ผลักเขาไปสู่ พระพรที่ยิ่งใหญ่ จงเชื่อมั่นในพระเจ้าที่รักเรา พระเจ้ารักและปรารถนาดีกับเราเสมอ พระเจ้าอยากให้เราประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เราอยากจะสำเร็จเองเสียอีก พระองค์จะช่วยเราอย่างแน่นอนที่สุด จงมองไปที่พระเยซู พระองค์คือ ดาวประจำรุ่ง พระองค์คือ ความสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด พระองค์คือแสงสว่าง ในคืนที่ฟ้าไร้ดารา

วนฉ 15:15 ท่านมาพบกระดูกขาตะไกรลาสดๆ อันหนึ่ง จึงยื่นมือหยิบมา และฆ่าคนเหล่านั้นเสียหนึ่งพันคน



ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของแซมสัน เกิดจากอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง อุปกรณ์ชิ้นนั้นก็คือ "กระดูกขาตะไกรลา (A Jawbone of a Donkey)" เหตุการณ์นี้ มีสิ่งน่าสนใจอยู่ 2 อย่าง ที่ดูเหมือนบังเอิญมาตรงกันพอดิบพอดี แต่ผมเชื่อว่า มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของพระเจ้า (Divine Arrangement)

สิ่งน่าสนใจสิ่งแรก ก็คือ สถานที่ ที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองเลฮี (Lehi) คำว่า เลฮี แปลว่า ขากรรไกร หรือแก้ม (Jaw or Cheek) สิ่งน่าสนใจที่สอง คือ อุปกรณ์ที่แซมสันใช้สยบคนฟีลิสเตีย อุปกรณ์นั้น คือ ขาตะไกรลา (A Jawbone of a Donkey) อะไรมันจะช่างบังเอิญ บังเอิญติดดินแบบนี้

มีพระคัมภีร์อยู่หลายตอน ที่พูดถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (Messiah) และในคำพยากรณ์เหล่านั้น มีการพูดถึงเรื่องแก้มเอาไว้ เรามาดูตัวอย่างคำพยากรณ์ดังกล่าว สัก 3 อัน

มคา 5:1 โอ กองทัพทหารเอ๋ย บัดนี้เจ้าจงกรีดหนังของเจ้า ศัตรูมาล้อมเราทั้งหลายไว้ เขาเอาไม้ตีแก้ม ของผู้ปกครองอิสราเอล

อสย 50:6 ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้า จากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด

โยบ 16:10 มีคนอ้าปากใส่ข้า เขาตบแก้มประจานข้า เขาสุมหัวกันปรักปรำข้า

สิ่งที่เหมือนกัน ของคำพยากรณ์ทั้ง 3 ก็คือ แก้มที่โดนทำร้าย และโดนดูถูกเหยียดหยาม นักศาสนศาสตร์ มีความเชื่อว่า ภาพสัญลักษณ์ขาตะไกลา ที่เลฮี ตรงนี้ เป็นภาพเล็งถึง วิญญาณที่นบนอบของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ยอม ถูกดูถูกเหยียดหยาม จนถึงความมรณาที่กางเขน และด้วยความนบนอบของพระองค์นี้แหละ คืออุปกรณ์ ที่นำมาซึ่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้น ภาพของแซมสันที่เป็นนาศีร์ (Nazirite) และไปแตะต้องถูกกระดูกขาตะไกของลาที่ตายแล้ว ทำให้เขาเป็นมลทิน เป็นภาพสัญลักษณ์เล็ง ถึงการที่พระเยซูคริสต์ทรงยอมเป็นมลทิน เพื่อที่เราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

2คร 5:21 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

2 Cor 5:21 For He made Him who knew no sin to be sin for us, that we might become the righteousness of God in Him. (NKJ)

ถ้าเราอ่าน พระธรรมผู้วินิจฉัยบทที่ 15 ข้อ 15 ดูดีๆ เราจะพบว่า พระคัมภีร์ระบุไว้ว่า ขาตะไกรลาอันนี้ เป็นขาตะไกรสด แสดงว่า ลาตัวนี้เพิ่งตายไปได้ไม่นาน ขากรรไกรลาสด เป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชนม์ ก่อนที่พระศพจะเน่าเปื่อยไป

กจ 2:31 กษัตริย์ดาวิดก็ทรงล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงทรงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า
พระเจ้ามิได้ทรงละพระองค์ไว้ในแดนคนตาย ทั้งพระมังสะของพระองค์ก็ไม่เปื่อยเน่า

กจ 13:34-35 34 ส่วนข้อที่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ มิให้กลับเน่าเปื่อยอีกเลย พระองค์จึงตรัสอย่างนี้ว่า เราจะให้สิ่งอันบริสุทธิ์มั่นคงแก่ท่านซึ่งได้สัญญาไว้กับดาวิด 35 เพราะพระองค์ตรัสไว้ในที่อื่นว่า พระองค์จะไม่ให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์ ประสบความเน่าเปื่อย


วนฉ 15:17 อยู่มาเมื่อท่านกล่าวเช่นนั้น แล้วก็โยนกระดูกขาตะไกรลาทิ้งไป เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า *รามาทเลฮี*

หลังจากได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว แซมสันได้โยนกระดูกขาตะไกรลาทิ้งไป เป็นภาพสัญลักษณ์ เล็งถึง การไถ่บาปครั้งเดียวของพระเยซู เพียงพอแล้ว พระองค์ไม่ต้องกลับมาตายไถ่บาปให้เราเป็นครั้งที่สอง การกลับมาครั้งที่สองของพระองค์ ก็เพื่อจะรับพวกเราผู้เชื่อ ไปอยู่สวรรคสถาน กับพระองค์เป็นนิตย์ พี่น้องที่รัก ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ ชีวิตคริสเตียน จึงเป็นชีวิตที่มีความหมาย เราอยู่อย่างมีความหวังใจ เพราะเรารู้ว่า พระเยซูจะกลับมารับเราไปอยู่กับพระองค์ ฮาเลลูยา

ฮบ 9:28 พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด



คำว่า "สำเร็จแล้ว" ที่พระเยซูพูด ก่อนที่พระองค์จะก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ (ยน 19:30) มีความหมาย อย่างที่พระองค์ทรงพูดจริงๆ งานของพระองค์เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบ วันนี้เราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซู กลายเป็นผู้ชอบธรรม มิใช่ด้วยความดีของเรา แต่ด้วยความดีของพระเยซู

มีผู้เชื่อบางคน เชื่อว่า เราชอบธรรมจนกระทั่งเราผิดพลาดทำบาป We are only righteous till our next sin. การเชื่อเช่นนั้น จะก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า เหตุไฉน ความล้มเหลวของอาดัมแรก ที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จึงยิ่งใหญ่กว่า งานที่สำเร็จแล้วของพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้า และอาดัมสุดท้าย

เหตุไฉนความผิดพลาดครั้งเดียวของอาดัมแรก สามารถเปลี่ยนมนุษย์ชั่วชาติพันธุ์ให้กลายเป็นคนบาป ชนิดที่ว่า ไม่ว่ามนุษย์จะพยายามทำดี แค่ไหน ก็ไม่สามารถ เปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นผู้ชอบธรรมได้ กลับมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่างานที่สำเร็จแล้ว ของพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าได้ ถ้าเราเชื่อเช่นนั้น แสดงว่า เราเชื่อว่า งานที่ล้มเหลวของอาดัม มีความสมบูรณ์มากกว่า งานที่สำเร็จแล้วของพระเจ้า

Noooo... งานที่สำเร็จแล้ว ของพระเยซู อาดัมสุดท้ายนั้น ยิ่งใหญ่เหนือกว่า งานที่ล้มเหลวของอาดัมแรก ชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลย เมื่อเราต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เรากลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า มิใช่โดยการประพฤติดี และความสามารถในการถือรักษาพระบัญญัติของเรา ความชอบธรรมเป็นของประทานที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์

ผู้เชื่ออาจมีคำถามว่า ชีวิตเรายังไม่สมบูรณ์ ยังผิดพลาด ล้มเหลว ทำบาปอยู่ แล้วเราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? ก่อนจะตอบคำถามนี้ ผู้เชื่อคนนั้น ต้องตอบคำถามหนึ่งก่อนว่า พระเยซูได้กลายเป็นบาปได้อย่างไร พระองค์ไม่เคยทำบาปเลย?? ก็ด้วยหลักการเดียวกัน เราก็เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยเหตุผลนั้น

ที่บนไม้กางเขนได้เกิดการแลกเปลี่ยน ความบาปของเราทุกคน ถูกถ่ายโอนไปรวมไว้ที่พระเยซูคริสต์  และพระองค์โดนพิพากษา รับโทษทัณฑ์ของความบาปแทนเรา และในขณะเดียวกัน ความชอบธรรมของพระองค์ ถูกถ่ายโอนกลับมาให้กับเรา

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณอันไพบูลย์ และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีให้กับเราเสมอมา และในทุกๆ วัน

สถานที่ที่แซมสัน โยนขาตะไกรลาทิ้งไป เรียกว่า รามาทเลฮี (Ramath-Lehi) มีความหมายว่า ขาตะไกร ที่อยู่สูง (Height of a Jawbone) เป็นภาพสัญลักษณ์ เล็งถึง พระเยซูคริสต์ที่พระองค์ จะต้องถูกยกขึ้นสูง

ฮบ 2:9 แต่เราก็เห็นพระเยซู ผู้ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่งนั้น
ทรงได้รับพระสิริและพระเกียรติเป็นมงกุฎ เพราะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความทุกข์ทรมาน
ทั้งนี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จึงได้ทรงชิมความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน


ฟป 2:8-11 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10 เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู 11 และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า

วนฉ 15:18-19 18 แซมสันกระหายน้ำมาก จึงร้องทุกข์ถึงพระเจ้าว่า "การช่วยกู้อันยิ่งใหญ่พระองค์ประทานให้สำเร็จด้วยมือผู้รับใช้ของพระองค์ บัดนี้ข้าพระองค์จะตายเพราะอดน้ำอยู่แล้ว และตกอยู่ในมือของผู้ไม่เข้าสุหนัตมิใช่หรือพระเจ้าข้า" 19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่เลฮีให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นจึงเรียกชื่อว่า *เอนหักโคร์* อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้


หลังจากที่แซมสันได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่แล้ว แซมสันรู้สึกกระหายน้ำ และอธิษฐานทูลขอให้พระเจ้าประทานน้ำให้กับเขา พระเจ้าจึงทรงเปิดช่อง ให้น้ำไหลออกจากหิน ให้เขาได้ดื่ม

ยน 19:28 หลังจากนั้น พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อให้เป็นจริงตามพระธรรม พระองค์จึงตรัสว่า "เรากระหายน้ำ"

นักศาสนศาสตร์ เชื่อกันว่า การกระหายน้ำของแซมสันในตรงนี้ หลังจากที่เขาได้รับชัยชนะแล้ว เป็นภาพเล็งถึง พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน พระคัมภีร์ ยอห์น บทที่ 19 และในข้อ 28 พระคัมภีร์พูดไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว พระองค์ตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" จริงๆ ประโยคนี้ของพระเยซู มีความหมายที่ลึกซึ้ง และเป็นภาพเล็งถึงหลายๆ อย่างในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเราจะกลับมาเจาะลึก คำพูดนี้ของพระองค์ ในโอกาสต่อไป 
น้ำที่ไหลออกจากหิน เป็นภาพสัญลักษณ์เล็งถึง พระเยซู ที่พระองค์เป็นน้ำแห่งชีวิต ให้แก่ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด

สถานที่แห่งนี้ ที่ซึ่งพระเจ้าทรงให้น้ำไหลออกจากหิน ถูกเรียกว่า "เอนหักโคร์ (Enhakkore)" มีความหมายว่า "น้ำพุแห่งการร้องเรียก (the Fountain of the Caller)" ภาพเงา (Shadow) ของเอนหักโคร์ตรงนี้ เตือนให้เราระลึกถึง แก่นสาร (Substance) ที่แท้จริงของเอนหักโคร์ คือ ที่กลโกธา ที่ซึ่งพระเยซูทรงชนะโลกแล้ว และพระองค์ คือ "น้ำพุแห่งขีวิต (Fountain of the Living Water)" ของเราทั้งหลายทุกคน ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์

ทุกคนที่ดื่มน้ำซึ่งพระองค์ให้แก่เขา (เชื่อวางใจในพระองค์) น้ำที่เขาดื่มน้ำ (ความเชื่อนั้น) จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขา พลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์



ยน 4:13-14 13 พระเยซูตรัสตอบว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"

ภาพสัญลักษณ์แรก ได้ถูกเปิดออกมาแล้ว ยังเหลือภาพสัญลักษณ์อีก 3 ภาพที่เล็งถึงพระเยซู กับอีก 1 ภาพสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเราผู้เชื่อ ให้เราร่วมเดินทางต่อไปด้วยกันนะครับ เพื่อที่จะไขปริศนา และเปิดภาพสัญลักษณ์ที่เหลืออยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น