วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Samson and the Seven Locks of Hair, Part 1 Samson Begins


วันนี้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่องชายคนหนึ่ง ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ชายคนนี้ เป็นหนึ่งในผู้วินิจฉัยของคนอิสราเอล อีกทั้งยังเป็นผู้วินิจฉัยคนสุดท้ายอีกด้วย เรื่องราวของชายคนนี้ จบลง พร้อมกับพระคัมภีร์ผู้วินิจฉัย ถูกต้องแล้วครับ ชายคนนี้ ก็คือ แซมซัน (Samson) โดยประเด็นหลักๆ ที่ผมอยากจะเขียนถึงชายคนนี้ ก็คือ เรื่องผมเจ็ดแหยมของแซมสัน (Samson's Seven Locks of Hair) โดยวันนี้เราจะมาเริ่มกันที่ตอนแรก กำเนิดแซมซัน


ผมขอเริ่มบทความนี้ ด้วยการอธิบายที่มาที่ไปของผู้วินิจฉัยก่อนนะครับ เพื่อปูพื้นความเข้าใจให้กับเพื่อนๆ พี่น้องทุกคน

ผู้วินิจฉัย คือ ผู้นำของคนอิสราเอสในช่วงรอยต่อ หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิต และก่อนเริ่มช่วงการปกครองระบบกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ผู้วินิจฉัยบ้างก็มาในฐานะของผู้นำทางทหาร หรือบ้างก็ฉายเดี่ยวโซโล แต่บทบาทและภาระกิจของผู้วินิจฉัยแต่ละคนจะเหมือนกัน คือ ปลดปล่อย ชนชาติอิสราเอลจากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยข้าศึกศัตรู 

ช่วงเวลาของผู้วินิจฉัย (The Period of the Judges) กินเวลาตั้งแต่ BC 1380 จนถึง 1550 ก่อนคริสตกาล จะว่าไปแล้ว ช่วงเวลานี้ ถือได้ว่าเป็นยุคมืด ยุคหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอลเลยก็ว่าได้ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า คนอิสราเอล ได้หลงเจิ่นไป นมัสการพระเจ้าเทียมเท็จ และต่างก็ทำตามใจปรารถนาของตนเอง ผลที่ตามมา ก็คือ ชีวิตของคนยิว ได้เผชิญหน้ากับความตกต่ำ และถูกกดขี่ข่มเหง จากคนต่างชาติครั้งแล้วครั้งเล่า



พระคัมภีร์ผู้วินิจฉัย ได้บันทึก เรื่องราวของผู้วินิจฉัยหลักๆ 12 คน ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยเหลือ ตลอดจนนำประชาชนต่อสู้กับข้าศึกศัตรู เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ แต่เนื่องจากผู้วินิจฉัยแต่ละคน ปรากฏตัวมาในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อผู้วินิจฉัยเหล่านี้ ตายจากไป คนอิสราเอลก็หันหลังจากพระเจ้า และวงจรอุบาต แห่งความตกต่ำก็หมุนเวียนกลับไปกลับมา เป็นเช่นนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตลอด 21 บทของพระธรรมผู้วินิจฉัย

จากผู้วินิจฉัยหลักๆ 12 คนที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ จะมีผู้วินิจฉัยเด่นๆ อยู่ 3 คน ได้แก่ เดโบราห์ (Deborah) วนฉ 4:1 - 5:31; กิเดโอน (Gideon) วนฉ 6:1 - 9:57 และ แซมสัน (Samson) วนฉ 13:1 - 16:31

ในบทความนี้ เราจะมาแกะรอย ตลอดจนเจาะลึกเรื่องราวของผู้วินิจฉัยคนสุดท้าย ที่มีชื่อว่า แซมสัน (Samson) โดยจุดสนใจหรือจุดเน้นหลัก ที่ผมอยากจะกล่าวถึงเป็นพิเศษ ก็คือ เรื่องผมเจ็ดแหยมของแซมสัน (Samson's Seven Locks of Hair)

ตลอดยุคผู้วินิจฉัย คนอิสราเอลตกอยู่ภายใต้อาณัติ ของคนต่างชาติหลัก ๆ ด้วยกัน 6 ชาติด้วยกัน: เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) 8 ปี, โมอับ (Moab) 18 ปี, คานาอัน (Canaan) 20 ปี, มีเดียน (Midian) 7 ปี, อัมโมน (Ammon) 18 ปี และฟีลิสเตีย (Philistia) อีก 40 ปี

แซมสันเกิดในช่วงที่ประชาชาติของเขา อยู่ภายใต้อาณัติของคนฟีลิสเตีย [เรื่องราวของฟีลิสเตียเองก็มีความน่าสนใจ ไว้ผมจะมาเขียนเพิ่มเติมในโอกาสต่อๆ ไปนะครับ]

เรามาเจาะลึกเรื่องของแซมสันกันต่อ ว่าชายคนนี้ เป็นใครมาจากไหน มีกำพืดอย่างไร และอะไรทำให้ชีวิตของแซมสัน โดดเด่นแตกต่างจากผู้วินิจฉัยคนอื่นๆ อีก 11 คน ที่เหลือ

แซมสันเองก็มีความโดดเด่นตั้งแต่การเกิดของเขา แม่ของแซมสันเป็นหมันไม่สามารถมีบุตรได้ (วนฉ 13:3) จนอยู่มาวันหนึ่งทูตของพระเจ้ามาปรากฏแก่มาโนอาห์ คุณพ่อของแซมสัน และภรรยา ว่าภรรยาของเขาจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นชาย และบุตรชายของเขาคนนี้ จะเป็นคนกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู ซึ่งก็คือ คนฟีลิสเตียในเวลานั้น

ทูตของพระเจ้า ได้ให้คำสั่งไว้กับมาโนอาห์ และภรรยา 2 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับแซมสัน

ข้อแรก อย่าให้แซมสันดื่มเหล้าองุ่น เมรัย และอย่ารับประทานของมลทิน

ข้อสอง อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เพราะเขาจะเป็นนาศีร์ (Nazirite) แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดจนวันตาย

ถึงตรงนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรก การเกิดของแซมสัน เป็นอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า เนื่องจากคุณแม่ของเขาเป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกเองได้ ประการที่สอง เรื่องของการเป็นนาศีร์ตลอดชีวิตของแซมสัน (Lifetime Nazirite)

การเป็นนาศีร์ ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์กันดารวิถี บทที่ 6 ข้อน่าสังเกต ก็คือ ปรกติการเป็นนาศีร์ จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ตามธรรมเนียมของคนยิวแล้ว การเป็นนาศีร์ จะมีตั้งแต่ 30 วัน, 60 วัน, 90 วัน หรือ 100 วัน แต่กรณีของแซมสัน ถือเป็นนาศีร์ชั่วชีวิต
นาศีร์ (Nazirite) แปลว่า การแยกออกเพื่อพระเจ้า ในสมัยพระคัมภีร์เดิม คนยิวทุกคน สามารถจะกระทำสัตย์ปฏิญาณเป็นพิเศษกับพระเจ้า โดยการเป็นนาศีร์ การเป็นนาศีร์ ไม่มีข้อจำกัด หรือข้อห้าม ว่าเผ่าไหนเป็นได้ เผ่าไหนเป็นไม่ได้ ทุกเผ่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะทางสังคม ก็สามารถเป็นนาศีร์ได้ด้วยกันทั้งสิ้น ปุโรหิตเองก็สามารถเป็นนาศีร์ได้เช่นเดียวกัน โดยคนที่จะเป็นนาศีร์ จะกำหนดระยะเวลา ว่าเขาหรือเธอ จะเป็นนาศีร์นานแค่ไหน เช่น 30 วัน, 60 วัน, 90 วัน หรือ 100 วัน เมื่อตกลงจะเป็นนาศีร์แล้ว ก็จะมีข้อพึงปฏิบัติของการเป็นนาศีร์หลักๆ อยู่ 3 ข้อ ได้แก่ ข้อแรก ห้ามดื่มผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากองุ่น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าองุ่น, น้ำองุ่น ตลอดจนลูกเกด เหตุผลก็เพื่อไม่ให้นาศีร์ตกอยู่ภายใต้การครอบงำ จากของมึนเมาทั้งหลาย ข้อสอง ห้ามตัดผม ตลอดจนห้ามโกนหนวด การไว้ผมยาว และไม่โกนหนวด ทำให้คนที่เป็นนาศีร์ดูโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นๆ ในชุมชน และข้อสาม ห้ามแตะต้องซากศพ เพราะจะทำให้เขาหรือเธอเป็นมลทิน นักศาสนศาสตร์ เชื่อกันว่า ในพระคัมภีร์ มีบุคคลอยู่ 3 คนที่ถือเป็นนาศีร์ทั้งชีวิต (Nazirite for Life) คือ แซมสัน (Samson), ซามูเอล (Samuel) และยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา (John the Baptist)

หลังจากรองพื้นมากันพอหอมปากหอมคอ ทีนี้ เราจะมาเริ่มเจาะลึก เรื่องราวของแซมซันในหลายๆ เหลี่ยม หลายๆ มุมกัน ในบรรดาผู้วินิจฉัยหลักๆ 12 คนในพระคัมภีร์ผู้วินิจฉัย แซมสันถือเป็นคนเดียว ที่พระคัมภีร์ได้ให้รายละเอียดไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่การเกิด จนถึงการตาย ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

การเกิดของแซมสัน ก็ไม่ธรรมดา การเกิดของเขา คืออัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า แซมสันถูกเรียกตั้งแต่ คุณแม่ของเขายังไม่ตั้งครรภ์ เขาเกิดมาพร้อมกับการทรงเรียก และภาระกิจยิ่งใหญ่ ที่จะปลดปล่อยประชาชาติของเขา จากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยคนฟีลิสเตีย ต่อเนื่องยาวนานร่วม 40 ปี



ไม่เพียงเท่านั้น แซมสันถือเป็นคนเดียว ใน 12 ผู้วินิจฉัย ที่มีพลังความสามารถฝ่ายร่างกาย ที่เหนือธรรมชาติ พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงพลังเหนือธรรมชาติของแซมสัน ไว้ในหลายๆ เหตุการณ์ เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพ อาทิเช่น แซมสันสยบราชสีห์ ด้วยมือเปล่า (วนฉ 14:5-6), เมื่อครั้งแซมสันโดนจับมัดด้วยเชือกพวนใหญ่ ถึงสองเส้น แซมสันกระฉากเชือกพวนขาดอย่างง่ายดาย ประดุจป่านที่ไหม้ไฟ (วนฉ 15:14), แซมสันยกประตูเมืองกาซา รวมทั้งเสาทั้งสองต้น พร้อมทั้งดานประตูใส่บ่า แบกไปถึงยอดภูเขา และสุดท้าย แซมสัน ทลายวิหารพระดาโกน (the Temple of Dagon) ด้วยสองมือเปล่า โดยการเขยื้อนเสาหลักสองต้น ที่ค้ำวิหาร (วนฉ 16:28-31)

แซมสัน ถือเป็นผู้วินิจฉัยที่มีจุดขายที่แตกต่าง และโดดเด่นจริงๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตามที ชีวิตของแซมสันก็จบลงแบบไม่สวยเท่าไหร่นัก ช่วงท้ายของชีวิต แซมสันเปิดเผยความลับ และที่มาของพลกำลังเหนือธรรมชาติของเขา ว่าซ่อนอยู่ในผมเจ็ดแหยม (Seven Locks of Hair) แก่สาวงามชาวฟีลิสเตีย แห่งหุบเขาโสเรก (the Valley of Sorek) นามว่า เดลิลาห์ (Delilah)

เดลิลาห์ ได้ขายความลับผมเจ็ดแหยมของแซมสันให้กับบรรดาเจ้านายฟีลิสเตีย จนท้ายที่สุด แซมสันได้รับการตัดผมครั้งแรกในชีวิต โดยชายชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง เป็นเหตุให้แซมสันสูญเสียพลกำลังเหนือธรรมชาติ และโดนคนฟีลิสเตียทะลวงดวงตาทั้งสอง ถูกล่ามด้วยตรวนทองสัมฤทธิ์ และถูกจับไปเป็นเชลย ให้โม่แป้งในเรือนจำ

อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ในบทความก่อนๆ ว่า พระคัมภีร์เดิม เป็นเงาของพระคัมภีร์ใหม่ที่เป็นแก่นสาร และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นกุญแจที่ไขปริศนาที่ซ่อนอยู่นั้นออกมา เรื่องราวของแซมสัน ได้เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ในหลายเหลี่ยม หลายมุม ตลอดจนแสดงให้เราเห็นถึงพระคุณความรักมากมาย ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเรา ตลอดจนเรื่องที่แตะใจผม ทำให้ผมสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือ เรื่องความลับที่ซ่อนอยู่ในผมเจ็ดแหยมของแซมสัน ให้เรามาร่วมกันแกะรอย และไขความลับเหล่านี้ร่วมกันในตอนต่อไปนะครับ...

2 ความคิดเห็น:

  1. แซมสันเป้นคนเดียวกับเฮอร์คิวลิสรึปล่าวค้ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ใช่ครับ จริงๆ เรื่องของ Hercules ไล่กลับมา จะรู้ว่า เป็นเรื่องราวที่เล็งถึงการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ ไว้มีโอกาส จะเอามาแบ่งปันครับ

      ลบ