ผมเชื่อว่า ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เป็นคริสเตียนมายาวนาน ก็น่าจะได้ฟังคำสอนเรื่องของชาวสะมาเรียใจดีกันมาแล้วหลายครั้ง ผมเองก็เช่นกัน ในตลอด 30 ปี ของการเป็นคริสเตียน ผมได้ยินคำสอนเรื่องของชาวสะมาเรียใจดีมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องของชาวสะมาเรียใจดี ก็จะได้ยินคำสรุปว่า ให้เรารักเพื่อนบ้าน ให้เราเสียสละ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่จุดโฟกัสจะอยู่ที่ว่า เราต้องทำโน่นนี่นั่น
แท้ที่จริงแล้ว อุปมาเรื่องของชาวสะมาเรียใจดี ได้ซ่อนสัจธรรมและความล้ำลึก เรื่องของพระเยซูคริสต์ ตลอดจนความลับเรื่องของ Rapture (การที่พระเยซูกลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์) เอาไว้ วันนี้ผมเลยอยากจะเขียนถึงความลับที่ซ่อนอยู่ของพระคัมภีร์ตอนนี้
ก่อนอื่นเรามาอ่านข้อพระคัมภีร์กันสักหน่อยนะครับ
ชาวสะมาเรียผู้ใจดี
ลก 10:25-37 25 ดูเถิด มีบาเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์ ทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์” 26 พระองค์ตรัสตอบว่า “ในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร” 27 เขาทูลตอบว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ” 28 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงกระทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต” 29 แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัว จึงทูลพระเยซูว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” 30 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว 31 เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา 34 เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้ 35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า ‘จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้’ 36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น” 37 เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด” (TBS1971)
The Parable of the Good Samaritan
Luke 10:25-37 25 And behold, a certain lawyer stood up and tested Him, saying, “Teacher, what shall I do to inherit eternal life?” 26 He said to him, “What is written in the law? What is your reading of it?” 27 So he answered and said, “ ‘You shall love the Lord your God with all your heart, with all your soul, with all your strength, and with all your mind,’ and ‘your neighbor as yourself.’ ” 28 And He said to him, “You have answered rightly; do this and you will live.” 29 But he, wanting to justify himself, said to Jesus, “And who is my neighbor?” 30 Then Jesus answered and said: “A certain man went down from Jerusalem to Jericho, and fell among thieves, who stripped him of his clothing, wounded him, and departed, leaving him half dead. 31 Now by chance a certain priest came down that road. And when he saw him, he passed by on the other side. 32 Likewise a Levite, when he arrived at the place, came and looked, and passed by on the other side. 33 But a certain Samaritan, as he journeyed, came where he was. And when he saw him, he had compassion. 34 So he went to him and bandaged his wounds, pouring on oil and wine; and he set him on his own animal, brought him to an inn, and took care of him. 35 On the next day, when he departed, he took out two denarii, gave them to the innkeeper, and said to him, ‘Take care of him; and whatever more you spend, when I come again, I will repay you.’ 36 So which of these three do you think was neighbor to him who fell among the thieves?” 37 And he said, “He who showed mercy on him.” Then Jesus said to him, “Go and do likewise.” (NKJV)
25 ดูเถิด มีบาเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์ ทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์”
ในข้อ 25 เปิดมาด้วยว่า มีบาเรียน (ผู้เชี่ยวชาญด้านพระบัญญัติ) มาทดลองพระองค์ พระคัมภีร์พูดชัดว่า บาเรียนท่านนี้ ถามคำถามไม่ใช่ด้วยจิตใจเลื่อมใสศรัธทาในพระองค์ หรือหิวกระหายอยากจะเข้าใจในสัจธรรมของพระเจ้า แต่เขาถามคำถามด้วยท่าที ต้องการทดลองพระองค์ โดยคำถามที่เขา ใช้ทดลองพระองค์ก็คือ "ทำอย่างไรถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์"
26 พระองค์ตรัสตอบว่า “ในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร” 27 เขาทูลตอบว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ” 28 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงกระทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”
เมื่อเขามาหาพระเยซูด้วยธรรมบัญญัติ พระองค์ก็ใช้ธรรมบัญญัติตอบเขากลับไปว่า ธรรมบัญญัติว่ายังไง ก็ให้ทำตามนั้น
29 แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัว จึงทูลพระเยซูว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า”
รม 3:20 เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ (TBS1971)
Rom 3:20 Therefore by the deeds of the law no flesh will be justified in His sight, for by the law is the knowledge of sin. (NKJV)
Rom 3:20 Therefore by the deeds of the law no flesh will be justified in His sight, for by the law is the knowledge of sin. (NKJV)
กท 3:24 เพราะฉะนั้น พระราชบัญญัติจึงเป็นครูของเราซึ่งนำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ (KJV)
Gal 3:24 Therefore the law was our tutor to bring us to Christ, that we might be justified by faith. (NKJV)
Gal 3:24 Therefore the law was our tutor to bring us to Christ, that we might be justified by faith. (NKJV)
ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด เป็นผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้เลย จุดประสงค์ที่พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติ ไม่ใช่เพื่อให้เราชอบธรรม แต่ตรงกันข้าม พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราเป็นคนบาป ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราต้องพระผู้ช่วยให้รอด จุดประสงค์ของการมีพระบัญญัติก็คือ การนำเรามาถึงพระคริสต์
เมื่อบาเรียนมาทดลองพระเยซูด้วยธรรมบัญญัติ พระองค์ก็ตอบเขากลับด้วยธรรมบัญญัติ เมื่อพระองค์ตอบเขากลับด้วยธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ คือ ปรักปรำ ชี้ให้เขาเห็นถึงความบาป และความบกพร่องของตนเอง
ข้อ 29 พระคัมภีร์พูดชัดว่า บาเรียน “แก้ตัว”
คำถาม: ทำไมบาเรียนถึงต้องแก้ตัว ทั้งที่พระเยซูยังไม่ได้ตำหนิหรือต่อว่าอะไรเขาเลย?
ตอบ: เพราะบาเรียนรู้สึกฟ้องผิดและปรักปรำ นี่คือหน้าที่ของธรรมบัญญัติ ทำให้รู้ถึงความบาป และความบกพร่องของเรา เพื่อนำเรามาหาพระคริสต์ แต่แทนที่บาเรียนคนนี้จะกลับใจมาหาพระคริสต์ เขาเลือกที่จะเฉไฉแก้ตัว และถามพระเยซูกลับว่า "ใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า"
หลังจากข้อ 30 ไป พระเยซูทรงตอบเขากลับเป็นคำอุปมา เรื่องของชายชาวสะมาเรียใจดี
คำถาม: ทำไมบาเรียนถึงต้องแก้ตัว ทั้งที่พระเยซูยังไม่ได้ตำหนิหรือต่อว่าอะไรเขาเลย?
ตอบ: เพราะบาเรียนรู้สึกฟ้องผิดและปรักปรำ นี่คือหน้าที่ของธรรมบัญญัติ ทำให้รู้ถึงความบาป และความบกพร่องของเรา เพื่อนำเรามาหาพระคริสต์ แต่แทนที่บาเรียนคนนี้จะกลับใจมาหาพระคริสต์ เขาเลือกที่จะเฉไฉแก้ตัว และถามพระเยซูกลับว่า "ใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า"
หลังจากข้อ 30 ไป พระเยซูทรงตอบเขากลับเป็นคำอุปมา เรื่องของชายชาวสะมาเรียใจดี
ตามคำนิยามของพระเยซู คำอุปมา คือ ความล้ำลึกฝ่ายวิญญาณ เป็นความลับสวรรค์ ความลับสวรรค์นี้ จะเปิดเผยเฉพาะคนที่มีใจหิวกระหายและแสวงหา
มธ13:10-13 10 ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์ว่า “เหตุไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา” 11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้ 12 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนผู้นั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา 13 เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ (TBS1971)
Matt 13:10-13 10And the disciples came and said to Him, "Why do You speak to them in parables?" 11 He answered and said to them, "Because it has been given to you to know the mysteries of the kingdom of heaven, but to them it has not been given. 12 For whoever has, to him more will be given, and he will have abundance; but whoever does not have, even what he has will be taken away from him. 13 Therefore I speak to them in parables, because seeing they do not see, and hearing they do not hear, nor do they understand. (NKJV)
Matt 13:10-13 10And the disciples came and said to Him, "Why do You speak to them in parables?" 11 He answered and said to them, "Because it has been given to you to know the mysteries of the kingdom of heaven, but to them it has not been given. 12 For whoever has, to him more will be given, and he will have abundance; but whoever does not have, even what he has will be taken away from him. 13 Therefore I speak to them in parables, because seeing they do not see, and hearing they do not hear, nor do they understand. (NKJV)
ดังนั้นเอง อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี คือความลับสวรรค์ ที่ซ่อนเอาไว้ซึ่งความล้ำลึกหลายๆ อย่าง วันนี้และในบทความนี้ เราจะมาถอดภาพสัญลักษณ์ของอุปมานี้กัน
30 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว
ชายคนนี้ ที่โดนโจรปล้นและทำร้าย เล็งถึงพวกเรามนุษย์คนบาปทุกคน
ในพระคัมภีร์ ยอห์น บทที่ 10 ขโมยและโจรเล็งถึง มารซาตาน รวมถึงลูกสมุนที่เป็นเครื่องมือของมัน
เริ่มมาตั้งแต่ปฐมกาล สิ่งที่เป็นของมนุษย์ ก็ถูกมารซาตานขโมยและปล้นเอาไป สิทธิ์การครอบครองที่พระเจ้ามอบให้กับอาดัมและเอวา ก็โดนมารซาตานที่จำแลงมาในคราบของงู ปล้นและขโมยไป
31 เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
ปุโรหิตและเลวี คือนักศาสนา ทั้งสองต่างเดินผ่านเขาไปโดยไม่ได้ช่วยเหลือเขาแต่อย่างใด เล็งถึงศาสนาไม่สามารถจะช่วยให้เราไปถึงซึ่งความรอดได้ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่ศาสนาไม่สามารถช่วยให้เราชอบธรรมได้ เนื่องจากเราทุกคนไม่มีแรงที่จะทำตามคำสอนศาสนาเหล่านั้นได้
พระคัมภีร์พูดเอาไว้ชัดเจนว่า ถ้าเราสามารถรอดได้โดยการถือรักษาธรรมบัญญัติ พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์
กท 2:21 ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์ (TBS1971)
Gal 2:21 I do not set aside the grace of God; for if righteousness comes through the law, then Christ died in vain." (NKJV)
ทุกศาสนา ทุกความเชื่อ ต่างโฟกัสไปที่ตัวเรา และการกระทำของเรา กล่าวคือ ถ้าเราอยากรอด เราต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่ในความเป็นจริง เราก็เหมือนชายที่บาดเจ็บคนนี้ เราบาดเจ็บ อ่อนแอเกินไป เราไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้ สิ่งที่เราต้องการก็คือ พระผู้ช่วยให้รอด (Savior)
33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา
Gal 2:21 I do not set aside the grace of God; for if righteousness comes through the law, then Christ died in vain." (NKJV)
ทุกศาสนา ทุกความเชื่อ ต่างโฟกัสไปที่ตัวเรา และการกระทำของเรา กล่าวคือ ถ้าเราอยากรอด เราต้องช่วยเหลือตัวเอง แต่ในความเป็นจริง เราก็เหมือนชายที่บาดเจ็บคนนี้ เราบาดเจ็บ อ่อนแอเกินไป เราไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้ สิ่งที่เราต้องการก็คือ พระผู้ช่วยให้รอด (Savior)
33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา
ชายชาวสะมาเรีย คนนี้เล็งถึง พระเยซูคริสต์
ถาม: ชาวสะมาเรีย คือใคร และมีที่มาที่ไปยังไง?
ตอบ: หลังจากที่กษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ อาณาจักรอิสราเอล ได้แตกออกเป็น 2 อาณาจักร:
อาณาจักรเหนือ มีเมืองหลวงอยู่ที่สะมาเรีย (10 เผ่า)
อาณาจักรใต้ มีเมืองหลวงคือ กรุงเยรูซาเล็ม (2 เผ่ายูดาห์ และเบนยามิน)
ในปีที่ 721 B.C. อัสซีเรียได้บุกโจมตีอาณาจักรเหนือ และได้จับคนอาณาจักรเหนือไปเป็นทาส คนยิวที่ไม่ได้ถูกจับไป แต่ยังพำนักอยู่ในบริเวณกรุงสะมาเรีย คนยิวเหล่านี้ได้แต่งงานกับคนอัลซีเรีย และเกิดลูกเกิดหลานเป็นคนสะมาเรีย พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คนสะมาเรีย คือลูกผสมระหว่างคนยิวและคนต่างชาติ
ลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์
มธ 1:2-6 1หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจากอับราฮัม 2อับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ ยาโคบมีบุตรชื่อยูดาห์และพี่น้องของเขา 3ยูดาห์มีบุตรชื่อเปเรศกับเศราห์เกิดจากนางทามาร์ เปเรศมีบุตรชื่อเฮสโรน เฮสโรนมีบุตรชื่อราม 4รามมีบุตรชื่ออัมมีนาดับ อัมมีนาดับมีบุตรชื่อนาโชน นาโชนมีบุตรชื่อสัลโมน 5สัลโมนมีบุตรชื่อโบอาสเกิดจากนางราหับ โบอาสมีบุตรชื่อโอเบดเกิดจากนางรูธ โอเบดมีบุตรชื่อเจสซี 6เจสซีมีบุตรชื่อดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ (TBS1971)
The Genealogy of Jesus Christ
Matt 1:2-6 2 Abraham begot Isaac, Isaac begot Jacob, and Jacob begot Judah and his brothers. 3 Judah begot Perez and Zerah by Tamar, Perez begot Hezron, and Hezron begot Ram. 4 Ram begot Amminadab, Amminadab begot Nahshon, and Nahshon begot Salmon. 5 Salmon begot Boaz by Rahab, Boaz begot Obed by Ruth, Obed begot Jesse, 6 and Jesse begot David the king. (NKJV)
ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 1 ข้อ 2-6 ได้บันทึกถึงลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซู เราจะพบว่า ในลำดับพงศ์ของพระองค์ จะมีผู้หญิงต่างชาติ 2 คน ได้แก่นางราหับ (เยรีโค) และนางรูธ (โมอับ) พูดง่ายๆ ก็คือ พระเยซูทรงเป็นลูกผสมคนยิวและคนต่างชาติ เหมือนคนสะมาเรีย ในอุปมานี้
คนสะมาเรีย คือลูกครึ่งยิว แต่คนยิวไม่ยอมรับคนสะมาเรีย พระเยซูทรงเป็นลูกครึ่งคนยิวและคนต่างชาติ และคนยิว โดยเฉพาะนักศาสนาไม่ยอมรับพระองค์ ท้ายที่สุด พวกเขายืมมือคนโรม จับพระองค์ไปตรึงที่กางเขน
33แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา 34เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้
ในขณะที่เราเป็นดั่งชายที่บาดเจ็บปางตาย ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คนนี้ เรานอนรอความตาย (ความตายครั้งที่สอง คือตกนรกบึงไฟ พินาศไปชั่วกัปชั่วกัลป์)
พระเยซูทรงเสด็จมาหาเรา พระองค์มองเราด้วยใจเมตตา และเข้ามาช่วยเหลือเรา ทำแผลให้กับเรา
จากนั้นพระองค์ทรงให้เราขึ้นสัตว์ของพระองค์ พี่น้องเข้าใจภาพตรงนี้ไหมครับ? การที่พระองค์ให้เราขึ้นบนสัตว์ของพระองค์ นั่นหมายความว่า พระองค์ต้องลงเดิน พระองค์ให้สิทธิ์ที่เป็นของพระองค์กับเรา
พระองค์เป็นบาป เพื่อที่เราจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าในพระองค์ (2คร 5:21) ตลอดงานพันธกิจของพระเยซู พระเยซูจะเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา แต่ที่บนกางเขน ครั้งแรกและครั้งเดียว ที่พระองค์ทรงเรียกพระบิดาว่า "พระเจ้า" ความบาปของมนุษย์ทั้งโลกตั้งแต่สมัยปฐมกาล โถมลงมาบนพระองค์ พระองค์รับโทษความบาปของเรา ที่บนไม้กางเขน พระองค์สูญเสียความสัมพันธ์บิดาและบุตร เพื่อที่เราจะสามารถเรียกพระเจ้าว่า อับบา (พ่อ) ได้ในวันนี้ และทุกๆ วันตลอดไป
บนไม้กางเขน พระเยซูทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” พระบิดาต้องเบือนพระพักตร์ไปเสียจากพระเยซู พระบุตรองค์เดียว ที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด เพราะความบาปของมนุษย์ในอดีต ไปจนอนาคตโถมลงบนพระเยซู พระเยซูถูกพิพากษาแทนเรา ที่บนไม้กางเขนพระองค์สูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา เพื่อที่ว่า วันนี้พระเจ้าสามารถสถิตอยู่กับเราทุกวันตลอดไป โดยที่พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา (ฮบ 13:5)
พระองค์ทรงทำทุกอย่างให้กับเรา แม้พระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ก็สละให้เรา เพราะพระองค์ทรงรักเรา
บนไม้กางเขน พระเยซูทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” พระบิดาต้องเบือนพระพักตร์ไปเสียจากพระเยซู พระบุตรองค์เดียว ที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด เพราะความบาปของมนุษย์ในอดีต ไปจนอนาคตโถมลงบนพระเยซู พระเยซูถูกพิพากษาแทนเรา ที่บนไม้กางเขนพระองค์สูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา เพื่อที่ว่า วันนี้พระเจ้าสามารถสถิตอยู่กับเราทุกวันตลอดไป โดยที่พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา (ฮบ 13:5)
พระองค์ทรงทำทุกอย่างให้กับเรา แม้พระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ก็สละให้เรา เพราะพระองค์ทรงรักเรา
ตอนปลายของข้อ 34 พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ชายสะมาเรีย นำคนเจ็บมาฝากไว้ที่โรงแรม โรงแรมนี้เล็งถึงคริสตจักร เพื่อที่คริสตจักร จะได้รักษาพยาบาลเขาให้หายดี หนึ่งในหน้าที่หลักของคริสตจักรก็คือ การรักษาบรรดาคนเจ็บเหล่านี้ให้หายดี
35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า ‘จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้’
ชายสะมาเรีย ไม่ได้อยู่รอ จนคนเจ็บหายป่วย แต่เขาได้จากไป เช่นเดียวกัน หลังจากที่พระเยซูทรงทำพระราชกิจสำเร็จ พระองค์ทรงเสด็จกลับไปประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา
ก่อนที่ชายชาวสะมาเรียจะจากไป เขาได้นำเงิน 2 เดนาริอัน มอบให้กับเจ้าของโรงแรม และบอกกับเจ้าของโรงแรมว่า "จงรักษาเขาเถิด และเงินที่เสียเกินจากนี้ เมื่อฉันกลับมา ฉันจะใช้ให้"
ก่อนที่ชายชาวสะมาเรียจะจากไป เขาได้นำเงิน 2 เดนาริอัน มอบให้กับเจ้าของโรงแรม และบอกกับเจ้าของโรงแรมว่า "จงรักษาเขาเถิด และเงินที่เสียเกินจากนี้ เมื่อฉันกลับมา ฉันจะใช้ให้"
เจ้าของโรงแรมเปรียบได้กับศิษยาภิบาลของคริสตจักร สิ่งที่พระเยซูทรงอยากให้ศิษยาภิบาลทำ ก็เหมือนอย่างที่พระองค์ได้พูดกับเปโตรถึง 3 ครั้งว่า "จงเลี้ยงแกะของเรา"
เงิน 1 เดนาริอัน ในอุปมาคนทำงานในสวนองุ่น (The Parable of the Workers in the Vineyard) มีค่าเท่ากับค่าแรง 1 วัน 2 เดนาริอัน ก็เท่ากับค่าแรง 2 วัน หรือ 2 วันนั่นเอง
เงิน 1 เดนาริอัน ในอุปมาคนทำงานในสวนองุ่น (The Parable of the Workers in the Vineyard) มีค่าเท่ากับค่าแรง 1 วัน 2 เดนาริอัน ก็เท่ากับค่าแรง 2 วัน หรือ 2 วันนั่นเอง
มธ 20:2 ครั้นตกลงกับลูกจ้างวันละเดนาริอันแล้ว จึงใช้ให้ไปทำงานในสวนองุ่น (TBS1971)
Mt 20: 2 Now when he had agreed with the laborers for a denarius a day, he sent them into his vineyard. (NKJV)
1 วันของพระเจ้าเท่ากับ 1,000 ปีบนโลก
2ปต 3:8 แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว (TBS1971)
2 Peter 3:8 But, beloved, do not forget this one thing, that with the Lord one day is as a thousand years, and a thousand years as one day. (NKJV)
2 Peter 3:8 But, beloved, do not forget this one thing, that with the Lord one day is as a thousand years, and a thousand years as one day. (NKJV)
ชายสะมาเรียให้เงินไว้กับเจ้าของโรงแรม 2 เดนาริอัน ความหมายฝ่ายวิญญาณก็คือ พระเยซูจะจากไป 2 วัน หรือ 2,000 ปี และพระองค์จะเสด็จกลับมา Rapture คริสตจักร
จากวันนั้นที่พระองค์ลอยจากไป จนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยมา 2,xxx ปี +/- นั่นหมายความว่า Rapture สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เมื่อพระองค์กลับมา พระองค์จะตอบแทนให้รางวัลแก่ผู้นำ ศิษยาภิบาลทุกท่าน ที่ได้ช่วยดูแลฝูงแกะของพระองค์
36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น” 37 เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด”
ในแทบทุกครั้งที่ผมได้ยิน ได้ฟังคำสอนเรื่องชาวสะมาเรียใจดี คำสอนจะสรุปจบว่า พระเยซูสอนให้เราออกไปรักเพื่อนบ้าน ให้เราออกไปทำโน่นนี่นั่น
แต่ถ้าเราลองอ่าน ลองใคร่ครวญ สิ่งที่พระเยซูพูดจริงๆ เราก็จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของอุปมานี้
ข้อ 36 พระเยซูทรงพูดว่า "ใครคือเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น?" และในข้อ 37 พระเยซูปิดท้ายอุปมานี้ โดยกล่าวว่า "ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด"
ข้อ 36 พระเยซูทรงพูดว่า "ใครคือเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น?" และในข้อ 37 พระเยซูปิดท้ายอุปมานี้ โดยกล่าวว่า "ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด"
ข้อ 36 "ใครคือเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น" คำตอบก็คือ ชายชาวสะมาเรีย
ข้อ 37 "ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด" ทำอะไร? ตามบริบทที่ต่อเนื่องจากข้อก่อนหน้า ก็คือ รักเพื่อนบ้าน ซึ่งเพื่อนบ้านในบริบท ก็คือ พระเยซู
เราทั้งหลายรัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ชายที่บาดเจ็บคนนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เพื่อให้ได้มาซึ่งความรอด เขาถูกปล้นและถูกทำร้ายบาดเจ็บเจียนตาย ชายชาวสะมาเรียเป็นคนมาหาเขา ทำแผลให้เขา นำเขาขึ้นบนสัตว์ มาฝากไว้ที่โรงแรม ชายสะมาเรียเป็นฝ่ายทำทุกอย่าง สิ่งเดียวที่คนเจ็บทำ คือ ยอมรับพระเมตตาคุณของชายสะมาเรียคนนั้น
พี่น้องที่รัก ถ้าเรามองย้อนกลับไปในชีวิตเรา การที่เรามารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ หาใช่ เพราะคุณความดีของเราไม่ พระเจ้าทรงจัดสรรสถานการณ์ นำพระกิตติคุณเข้ามาในชีวิตของเรา ตลอดจน จัดสรรบรรยากาศที่เอื้อให้เราตอบสนอง จนที่สุดเราได้รับความรอด
ด้วยเหตุนี้แหละ ยิ่งเราเห็น ยิ่งเราเข้าใจว่า พระเจ้าทรงรักเรามากแค่ไหน เราจึงรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน We love because He first love us.
พี่น้องที่รัก ถ้าเรามองย้อนกลับไปในชีวิตเรา การที่เรามารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ หาใช่ เพราะคุณความดีของเราไม่ พระเจ้าทรงจัดสรรสถานการณ์ นำพระกิตติคุณเข้ามาในชีวิตของเรา ตลอดจน จัดสรรบรรยากาศที่เอื้อให้เราตอบสนอง จนที่สุดเราได้รับความรอด
ด้วยเหตุนี้แหละ ยิ่งเราเห็น ยิ่งเราเข้าใจว่า พระเจ้าทรงรักเรามากแค่ไหน เราจึงรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน We love because He first love us.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น